คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 383/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยเนื่องจากยื่นเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์แล้ว หากจำเลยประสงค์จะอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นจำเลยต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234โดยยื่นคำขอเป็นคำร้องและนำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาล และนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่ศาลได้มีคำสั่ง แม้อุทธรณ์คำสั่งของจำเลยจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ก็ตาม แต่เป็นการยื่นอุทธรณ์คำสั่งภายหลังที่ศาลชั้นต้นพิพากษาชี้ขาดตัดสินคดีแล้วจำเลยจึงต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของมาตรา 234 ด้วย เมื่อจำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่งโดยมิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล จึงเป็นอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่ชอบ ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ชอบที่จะปฏิเสธไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน354,919.11 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี แบบทบต้น นับแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2540 ถึงวันที่ 26 สิงหาคม 2540 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี แบบไม่ทบต้นจากต้นเงิน 354,919.11 บาท รวมทั้งดอกเบี้ยทบต้นดังกล่าว นับแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2540 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,500 บาท โดยพิพากษา เมื่อวันที่ 16ธันวาคม 2542

จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องลงวันที่ 17 มกราคม 2543 ขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ออกไป 30 วัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า อนุญาตให้ขยายได้ถึงวันที่ 2กุมภาพันธ์ 2543

วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2543 จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ออกไปอีก 20 วัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า อนุญาตให้ขยายได้ถึงวันที่ 8มีนาคม 2543 และอนุญาตเป็นครั้งสุดท้าย

วันที่ 8 มีนาคม 2543 จำเลยที่ 1 ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นและคำร้องขอทุเลาการบังคับ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์และรับคำร้องขอทุเลาการบังคับ

ครั้นวันที่ 26 เมษายน 2543 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ลงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2543 ว่า จำเลยที่ 1ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์และขอวางเงินชั้นอุทธรณ์เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาที่ขอขยายครั้งแรกแล้ว ศาลมีคำสั่งไปโดยผิดหลง จึงมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งเดิม แล้วมีคำสั่งใหม่ว่า ให้ยกคำร้องฉบับนี้ ค่าคำร้องให้เป็นพับ มีคำสั่งในอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 ยื่นอุทธรณ์เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์แล้ว จึงให้เพิกถอนคำสั่งเดิมที่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ซึ่งมีคำสั่งไปโดยผิดหลง แล้วมีคำสั่งใหม่ว่า จำเลยที่ 1 อุทธรณ์เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ที่ขอขยายจึงไม่รับอุทธรณ์ คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด และมีคำสั่งในคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลยที่ 1 ว่า ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งเดิมที่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 โดยผิดหลง แล้วมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับอุทธรณ์จำเลยที่ 1 คำร้องขอทุเลาการบังคับจึงตกไปในตัว

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่ง

ศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำสั่งว่า จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2543 เป็นการยื่นเมื่อสิ้นกำหนดเวลาที่ขอขยายครั้งแรกแล้ว ศาลจะขยายกำหนดระยะเวลาให้ได้ต่อเมื่อเป็นกรณีที่มีเหตุสุดวิสัยเท่านั้น ข้ออ้างตามคำร้องของจำเลยที่ 1 หาเป็นกรณีมีเหตุสุดวิสัยไม่ จึงไม่มีเหตุที่จะขยายระยะเวลาให้ได้ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งเดิมที่อนุญาตให้ขยายถึงวันที่ 8 มีนาคม 2543 และคำสั่งเดิมที่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1ซึ่งสั่งไปโดยผิดหลงแล้วมีคำสั่งใหม่เป็นว่า ให้ยกคำร้อง และมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 จึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้จำเลยที่ 1 ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาโดยนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1หากจำเลยที่ 1 ประสงค์จะอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1ก็ต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 234 โดยยื่นคำขอเป็นคำร้องต่อศาลชั้นต้นและนำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่ศาลได้มีคำสั่ง แม้อุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ 1 จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ก็ตามแต่เป็นการยื่นอุทธรณ์คำสั่งภายหลังที่ศาลชั้นต้นพิพากษาชี้ขาดตัดสินคดีแล้ว จำเลยที่ 1 จึงต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของบทบัญญัติมาตรา 234 ดังกล่าวในกรณีเช่นนี้ด้วย แต่จำเลยที่ 1 ยื่นอุทธรณ์คำสั่งโดยมิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล จึงไม่เป็นอุทธรณ์คำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ชอบที่จะปฏิเสธไม่รับวินิจฉัยให้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการไม่ชอบและถือไม่ได้ว่าฎีกาของจำเลยที่ 1 เป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 8 จำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้”

พิพากษายกคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 8 และยกฎีกาจำเลยที่ 1 ให้คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดในชั้นฎีกาแก่จำเลยที่ 1

Share