แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์และจำเลยทำสัญญารับฝากขายสินค้ากันโดยโจทก์ให้ค่าตอบแทนเดือนละ 120,000 บาท แก่จำเลย และโจทก์วางเงินไว้เป็นประกันแก่จำเลย 575,100 บาท โดยพื้นที่รับฝากสินค้าจำเลยเช่ามาจากบริษัท ซ. ต่อมาบริษัท ซ. บอกเลิกสัญญาเช่าพื้นที่กับจำเลย จำเลยจึงไม่สามารถให้โจทก์ใช้พื้นที่ได้ ทำให้สัญญารับฝากขายสินค้าพิพาทต้องเลิกกันโดยโทษฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ได้ คู่สัญญาจึงต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 การชำระหนี้ของคู่สัญญาอันเกิดแก่การเลิกสัญญานั้น มาตรา 392 ให้นำบทบัญญัติแห่งมาตรา 369 ว่าด้วยการชำระหนี้ในสัญญาต่างตอบแทนมาใช้บังคับ โจทก์ต้องออกจากพื้นที่พิพาทเพื่อกลับคืนสู่ฐานะเดิม เมื่อโจทก์ยังไม่ได้ออกจากพื้นที่พิพาท จึงยังไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเอาเงินประกันคืนจากจำเลยได้ ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาจึงหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบด้วย มาตรา 246 และ 247 แต่เมื่อจำเลยได้ ฟ้องแย้งและฎีกาขอให้เอาเงินค่าเสียหายที่โจทก์ต้องชำระแก่จำเลยหักออกจากเงินประกันที่โจทก์วางไว้กับจำเลย จึงเป็นกรณีที่จำเลยขอหักหนี้โดยไม่ต้องการประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาต่อไป ซึ่งย่อมกระทำได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 192 วรรคสอง จึงต้องนำเอาค่าเสียหายที่โจทก์ก่อขึ้นอันเนื่องมาจากการไม่ส่งมอบพื้นที่พิพาทให้แก่จำเลยตลอดเวลา ที่ยังไม่ส่งมอบพื้นที่พิพาทคืน หักกับเงินประกันที่โจทก์วางไว้กับจำเลยดังกล่าวจนกว่าจะส่งมอบพื้นที่พิพาทคืน
การที่จำเลยฎีกาว่า เมื่อหักกับเงินประกันของโจทก์ที่เหลืออยู่จำนวน 352,361.76 บาทแล้ว โจทก์จะต้องชำระเงินค่าเสียหายให้จำเลยอีกจำนวน 212,698.56 บาท นั้น เป็นฎีกาที่เกินกว่าคำขอตามฟ้องแย้งของจำเลย ศาลบังคับให้ไม่ได้ เพราะฟ้องแย้งเป็นคำฟ้องอย่างหนึ่ง ซึ่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 ห้ามมิให้พิพากษาหรือทำคำสั่งให้สิ่งใดๆ เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2537 โจทก์จำเลยทำสัญญารับฝากขายสินค้า โดยให้โจทก์นำสินค้าประเภทเครื่องหนัง เครื่องแต่งกายเข้าวางจำหน่ายในพื้นที่เช่าซึ่งจำเลยมีสิทธิเช่า เลขที่ 1697 ห้องจี – 36 ของศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่าบริเวณชั้นใต้ดิน จากบริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัด ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2537 ถึงเดือนตุลาคม 2540 โจทก์จะชำระค่าตอบแทนให้จำเลยร้อยละ 30 ของยอดขายประจำวัน หากยอดขายเดือนใดต่ำกว่า 400,000 บาท จะชำระค่าตอบแทน 120,000 บาท โจทก์ได้วางเงินประกันเพื่อปฏิบัติตามสัญญาไว้แก่จำเลย 575,100 บาท ซึ่งจำเลยจะต้องคืนให้โจทก์เมื่อครบสัญญา ต่อมาจำเลยได้บอกเลิกสัญญาและให้โจทก์ขนย้ายทรัพย์สินออกจากพื้นที่เช่าภายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2539 ซึ่งโจทก์ได้ขนย้ายทรัพย์สินออกไปภายในกำหนดแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมคืนเงินประกันให้ ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินจำนวน 575,100 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ได้นำพื้นที่ครึ่งหนึ่งให้นายวิพล เช่าช่วง อีกครั้งหนึ่งโจทก์และนายมนตรี ค้าขายร่วมกัน เป็นเหตุให้บริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัด เจ้าของสถานที่ บอกเลิกสัญญาเช่าแก่จำเลย จำเลยจึงบอกกล่าวให้โจทก์และบริวารออกจากพื้นที่เช่า ภายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2539 โจทก์ขอให้จำเลยหักกลบลบหนี้เงินที่จำเลยต้องชำระเดือนละ 120,000 บาท ออกจากเงินประกันจำนวน 575,100 บาทตั้งแต่งวดประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2539 ถึงวันที่ 18 มีนาคม 2539 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์จะขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่เช่า แต่เมื่อถึงวันที่ 18 มีนาคม 2539 โจทก์ไม่ออกจากพื้นที่เช่า และโจทก์และนายมนตรีคงครอบครองพื้นที่เช่าตลอดมา โจทก์ต้องชำระเงินตามสัญญารับฝากขายสินค้าเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน 2539 จำนวน 222,738.24 บาท และตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2539 จนกว่าจะออกจากพื้นที่เช่า เดือนละ 51,369.12 บาท เท่ากับที่จำเลยถูกบริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัด ฟ้องเรียกจากจำเลย โดยจำเลยขอหักจากเงินประกันที่จำเลยจะต้องคืนให้โจทก์ แต่ที่โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีจากเงินประกันนั้น โจทก์ไม่มีสิทธิคิดเนื่องจากโจทก์เป็นฝ่ายก่อให้เกิดความเสียหาย
โจทก์ไม่ให้การแก้ฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 455,100 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 19 มีนาคม 2539 จนกว่าจะชำระเสร็จ ยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 352,361.76 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าโจทก์และจำเลยได้ทำสัญญารับฝากขายสินค้ากันโดยโจทก์ให้ค่าตอบแทนเดือนละ 120,000 บาท แก่จำเลย และโจทก์ได้วางเงินไว้เป็นประกันให้แก่จำเลยจำนวน 575,100 บาท ด้วย ตามสัญญารับฝากขายสินค้า โดยพื้นที่รับฝากสินค้าตามสัญญานี้ จำเลยเช่ามาจากบริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัด สัญญานี้เริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2537 ถึงเดือนตุลาคม 2540 เมื่อครบกำหนดเวลาตามสัญญาแล้ว จำเลยจะคืนเงินประกันให้แก่โจทก์ หากโจทก์ไม่มีภาระติดค้างอยู่กับจำเลย ต่อมาบริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัด บอกเลิกสัญญาเช่าพื้นที่กับจำเลย จำเลยจึงไม่สามารถให้โจทก์ใช้พื้นที่ได้ตามสัญญา จำเลยจึงบอกเลิกสัญญากับโจทก์
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า จำเลยมีสิทธิขอให้นำค่าเสียหายที่จำเลยได้รับความเสียหายภายหลังจากวันที่โจทก์ฟ้องมาหักกลบลบหนี้กับเงินประกันที่โจทก์วางให้ไว้กับจำเลยนั้นหรือไม่ เพียงใด และมีสิทธิขอให้บังคับโจทก์ชำระค่าเสียหายในส่วนนี้เกินจากที่หักกลบลบหนี้กับเงินประกันไปจนหมดแล้วหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า โจทก์และบริวารยังคงอยู่ไม่ยอมขนย้ายทรัพย์สินออกจากพื้นที่พิพาทจนถึงวันที่ 12 มีนาคม 2540 ดังนั้นโจทก์ต้องใช้ค่าเสียหายต่อจากเดือนพฤษภาคม 2539 ในอัตราเดือนละ 51,369.12 บาท จนถึงวันที่ 12 มีนาคม 2540 ด้วย ซึ่งรวมเป็นเงินจำนวน 565,060.32 บาท เมื่อหักกับเงินประกันของโจทก์ที่เหลืออยู่จำนวน 352,361.76 บาท แล้วโจทก์จะต้องชำระเงินค่าเสียหายให้แก่จำเลยอีก 212,698.56 บาทด้วย เห็นว่าเมื่อสัญญารับฝากขายสินค้าพิพาทเลิกกันโดยโทษฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ได้แล้วสิทธิและหน้าที่ของคู่สัญญาต้องเป็นไปตาม ป.พ.พ. 391 คือต้องให้คู่สัญญาได้กลับคืนสู่ฐานะเดิมการชำระหนี้ของคู่สัญญาอันเกิดแก่การเลิกสัญญานั้น มาตรา 392 ให้นำบทบัญญัติแห่งมาตรา 369 ว่าด้วยการชำระหนี้ในสัญญาต่างตอบแทนมาใช้บังคับ ในกรณีนี้โจทก์ต้องออกจากพื้นที่พิพาทเพื่อกลับคืนสู่ฐานะเดิม แต่โจทก์ยังไม่ได้ออกจากพื้นที่พิพาท โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเอาเงินประกันคืนจากจำเลยได้ ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนและข้อเท็จจริงที่นำมาวินิจฉัยปัญหานี้ ปรากฏในสำนวนตามที่คู่ความนำสืบมาโดยถูกต้องตามวิธีพิจารณา ศาลฎีกาจึงหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบด้วยมาตรา 246 และ 247 แต่อย่างไรก็ตาม จำเลยได้ฟ้องแย้งและได้ฎีกาขอให้เอาเงินค่าเสียหายที่โจทก์ต้องชำระแก่จำเลยหักออกจากเงินประกันที่โจทก์วางไว้กับจำเลย จึงเป็นกรณีที่จำเลยขอหักหนี้โดยจำเลยไม่ต้องการประโยชน์แห่งเงื่อนไขเวลาต่อไป ซึ่งย่อมกระทำได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 192 วรรคสอง จึงต้องนำเอาค่าเสียหายที่โจทก์ก่อขึ้นอันเนื่องมาจากการไม่ส่งมอบพื้นที่พิพาทให้แก่จำเลยตลอดเวลาที่ยังไม่ส่งมอบพื้นที่พิพาทคืนหักกับเงินประกันที่โจทก์วางไว้กับจำเลยดังกล่าวจนกว่าจะส่งมอบพื้นที่พิพาทคืน ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า เมื่อหักกับเงินประกันของโจทก์ที่เหลืออยู่จำนวน 352,361.76 บาทแล้ว โจทก์จะต้องชำระเงินค่าเสียหายให้แก่จำเลยอีกจำนวน 212,689.56 บาท นั้น เป็นฎีกาที่เกินกว่าคำขอตามฟ้องแย้งของจำเลยศาลบังคับให้ไม่ได้เพราะฟ้องแย้งเป็นคำฟ้องอย่างหนึ่งซึ่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 ห้ามมิให้พิพากษาหรือทำคำสั่งให้ สิ่งใด ๆ เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฎในคำฟ้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ และให้หักเงินค่าเสียหายเดือนละ 51,369.12 บาท อันเนื่องมาจากที่โจทก์หรือบริวารโจทก์ไม่คืนพื้นที่พิพาทให้แก่จำเลยออกจากเงินประกันที่โจทก์วางไว้กับจำเลยส่วนที่ยังเหลืออยู่จำนวน 352,361.76 บาท ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยเริ่มตั้งแต่วันฟ้องคือวันที่ 3 พฤษภาคม 2539 เป็นต้นไป จนกว่าโจทก์ส่งมอบพื้นที่พิพาทคืน แต่ทั้งนี้ให้หักกันจนครบตามจำนวนเงินประกันที่โจทก์วางไว้แก่จำเลยเท่านั้น นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.