คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 408/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ถูกดำเนินคดีอาญาข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะ หรือหมู่บ้านโดยไม่มีเหตุอันสมควร ยิงปืนในหมู่บ้านโดย ไม่มีเหตุอันสมควรเมาสุราทำให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย และถูกพักราชการระหว่างรอฟังผลคดีอาญา ต่อมาศาลจังหวัดอ่างทอง พิพากษายกฟ้องโจทก์ กองบัญชาการตำรวจภูธร 1 มีคำสั่ง ที่ 99/2534 ให้โจทก์กลับเข้ารับราชการและลงโทษกักขังโจทก์ มีกำหนด 60 วัน อันเป็นการลงโทษข้อหาเสพสุราจนมีอาการ มึนเมาและเสียกริยาในที่สาธารณะ แต่ต่อมาจำเลยมีคำสั่ง ที่ 983/2534 ไล่โจทก์ออกจากราชการ ซึ่งคำสั่งดังกล่าวระบุว่า เป็นการลงโทษข้อหาละทิ้งหน้าที่ เสพสุรามึนเมาอาละวาด ทำลายทรัพย์สินของผู้อื่น และยิงปืนโดยไม่มีเหตุอันสมควร คำสั่ง ของจำเลยดังกล่าวจึงอาจเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งคำสั่งไล่ออกก็เป็นคำสั่งที่มีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิ และหน้าที่ของโจทก์ ถือว่าโจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยเพิกถอนคำสั่งไล่โจทก์ออกจากราชการฉบับลงวันที่ 28 มิถุนายน 2534 และมีคำสั่งใหม่ให้โจทก์เข้ารับราชการเหมือนเดิม และให้มีคำสั่งให้โจทก์ได้รับเงินเดือนย้อนหลังนับตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2533 ถึงวันที่ 2 พฤษภาคม 2534 และตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2534จนถึงปัจจุบัน หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง คำสั่งดังกล่าวตามฟ้องเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายโจทก์มิได้แสดงหรือบรรยายฟ้องว่าคำสั่งดังกล่าวกับมติของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจที่พิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์ไม่ถูกต้องตามกฎหมายอย่างไรและมิได้แสดงหรือบรรยายฟ้องว่าคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยกับคณะกรรมการข้าราชการตำรวจฟังข้อเท็จจริงหรือใช้ดุลพินิจโดยไม่มีพยานหลักฐานหรือเหตุผลสนับสนุน และฝ่าฝืนกฎหมายอย่างไร ขอให้ยกฟ้อง
ชั้นชี้สองสถานศาลกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าคำสั่งกรมตำรวจที่ 983/2534 ลงวันที่ 28 มิถุนายน 2534 ที่สั่งไล่โจทก์ออกจากราชการเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ ให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่า คำฟ้องโจทก์มิได้บรรยายฟ้องถึงข้อโต้แย้งที่เกี่ยวกับสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องพิพากษาให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า “ปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์มีว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ โจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำของจำเลยอันเป็นข้อโต้แย้งสิทธิของโจทก์แล้วหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่า โจทก์ถูกดำเนินคดีอาญาข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะหรือหมู่บ้านโดยไม่มีเหตุอันสมควร ยิงปืนในหมู่บ้านโดยไม่มีเหตุอันสมควร เมาสุราทำให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหายและถูกพักราชการระหว่างรอฟังผลคดีอาญาต่อมาศาลจังหวัดอ่างทองพิพากษายกฟ้องโจทก์กองบัญชาการตำรวจภูธร 1มีคำสั่งที่ 99/2534 ให้โจทก์กลับเข้ารับราชการและลงโทษกักขังโจทก์มีกำหนด 60 วัน ซึ่งตามคำสั่งดังกล่าวระบุว่าเป็นการลงโทษข้อหาเสพสุราจนมีอาการมึนเมาและเสียกริยาในที่สาธารณะต่อมาจำเลยมีคำสั่งที่ 983/2534 ไล่โจทก์ออกจากราชการ ซึ่งตามคำสั่งดังกล่าวระบุว่าเป็นการลงโทษข้อหาละทิ้งหน้าที่ เสพสุรามึนเมาอาละวาดทำลายทรัพย์สินของผู้อื่น และยิงปืนโดยไม่มีเหตุอันสมควร คำสั่งของจำเลยดังกล่าวเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ยุติธรรมและขัดต่อคำพิพากษาของศาลจังหวัดอ่างทองที่ถึงที่สุดแล้ว ดังนี้ คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายให้เห็นว่าคำสั่งของจำเลยดังกล่าวได้อ้างข้อหาเมาสุราซึ่งโจทก์ถูกลงโทษกักขัง60 วันไปแล้ว และมีข้อหายิงปืนโดยไม่มีเหตุอันสมควรซึ่งศาลจังหวัดอ่างทองพิพากษายกฟ้องถึงที่สุดไปแล้ว กับมีข้อหาละทิ้งหน้าที่เพิ่มขึ้นอีก จึงอาจเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามที่โจทก์อ้าง และคำสั่งไล่ออกก็เป็นคำสั่งที่มีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิและหน้าที่ของโจทก์ คำฟ้องของโจทก์ถือได้ว่ามีการโต้แย้งสิทธิแล้วโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยไม่ฟังข้อเท็จจริงตามข้ออ้างของโจทก์เสียก่อนนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่

Share