คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3824/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยเป็นกำนันและเป็นประธานกรรมการของวัดที่โจทก์เป็นเจ้าอาวาส เมื่อโจทก์เป็นผู้เก็บรักษาเงินรายได้ของวัดไว้เองและใช้จ่ายไปโดยไม่มีรายละเอียดประกอบกับน้องของโจทก์ซึ่งมีอาชีพค้าขายเล็กน้อย มีเงินซื้อที่ดินได้ถึง 100 ไร่ ซึ่งจำเลยเคยขอให้โจทก์ชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับเงินรายรับรายจ่ายของวัด แต่โจทก์ก็ไม่เคยชี้แจง การที่จำเลยทำหนังสือร้องเรียนส่งไปยังผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องและประชาชนทั่วไป จึงเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมและติชมด้วยความเป็นธรรมซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329(1)(3)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326,328, 332 และให้จำเลยโฆษณาคำพิพากษาของศาลทั้งหมดในหนังสือพิมพ์รายวัน 3 ฉบับ เป็นเวลา 7 วัน ติดต่อกัน โดยให้จำเลยเป็นผู้ชำระค่าโฆษณาทั้งหมด
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 328 จำคุก 6 เดือน ปรับ 3,000 บาท จำเลยให้การรับว่าเป็นผู้ทำเอกสารหมาย จ.1 ที่มีข้อความหมิ่นประมาทโจทก์จริงอันเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง ถือเป็นเหตุบรรเทาโทษเห็นสมควรปรานีลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุกจำเลย 4 เดือน ปรับ 2,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน ทั้งพฤติการณ์แห่งคดีไม่ร้ายแรง เห็นสมควรรอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 และให้จำเลยโฆษณาคำพิพากษาทั้งหมดในหนังสือพิมพ์ส่วนท้องถิ่น 1 ฉบับ ครั้งเดียว โดยให้จำเลยเป็นผู้ชำระค่าโฆษณา
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์จำเลยนำสืบตรงกันและมิได้โต้แย้งกันฟังได้ว่า โจทก์เป็นเจ้าอาวาสวัดติกขมณีวรรณ ตำบลเสือโก้ก อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคามมีสมณศักดิ์เป็นพระครูญาณวุฒิคุณจำเลยเป็นกำนันตำบลเสือโก้กและเป็นประธานกรรมการวัดติกขมณีวรรณฝ่ายฆราวาสโดยตำแหน่งจำเลยเป็นผู้ทำหนังสือร้องเรียนส่งไปยังคณะกรรมการสงฆ์อำเภอวาปีปทุม เจ้าคณะจังหวัดมหาสารคาม เจ้าคณะภาค 9ผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม อธิบดีกรมศาสนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เลขาธิการสำนักนายกรัฐมนตรีและประชาชนทั่วไปตามเอกสารหมาย จ.1 ระบุว่าโจทก์อาศัยตำแหน่งหน้าที่นำเงินส่วนกลางของวัดไปซื้อที่ดินให้น้องชายและหลานชายของตนเป็นการพิรุธแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ คดีมีปัญหาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์หรือไม่ โจทก์นำสืบว่า ข้อความตามหนังสือร้องเรียนนั้นไม่เป็นความจริง แต่โจทก์เบิกความว่าเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2532มีชาวบ้านมาประชุมกันเรียกร้องให้ทางวัดชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับรายจ่ายรายรับของวัดซึ่งโจทก์ไม่รับรู้ด้วย แต่การประชุมดำเนินไปไม่ตลอด เนื่องจากบุตรของน้องชายโจทก์เกิดเหตุทะเลาะวิวาทกับผู้ที่มาประชุม พฤติการณ์ที่ชาวบ้านมาประชุมเรียกร้องดังโจทก์เบิกความเจือสมตามทางนำสืบต่อสู้ของจำเลยว่าก่อนทำหนังสือร้องเรียนจำเลยเคยขอตรวจสอบบัญชีรายจ่ายของวัดแต่จำเลยไม่ได้รับการชี้แจงจากโจทก์ จำเลยได้ทราบข้อมูลที่ร้องเรียนจากราษฎร และพระบุญโฮม รองเจ้าอาวาสวัดติกขมณีวรรณการบูรณะซ่อมแซมวัดโจทก์เป็นผู้สั่งซื้อวัสดุอุปกรณ์เองโดยไม่ปรึกษาคณะกรรมการวัด เงินรายได้ของวัด ส่วนมากโจทก์เก็บรักษาเอง และใช้จ่ายไปโดยไม่มีรายละเอียด โจทก์เคยนำเงินของวัดให้น้องและหลานไปซื้อที่ดิน ซึ่งปรากฏว่าน้องของโจทก์มีอาชีพค้าขายเล็ก ๆ น้อยแต่ซื้อที่ดินได้ถึง 100 ไร่ พฤติการณ์ดังกล่าวควรเป็นที่ระแวงสงสัยของชาวบ้านและจำเลยซึ่งเป็นประธานกรรมการของวัดควรสอบสวนหาความจริงเพื่อรักษาผลประโยชน์ของวัดอันเป็นสมบัติของสาธารณชน การทำหนังสือร้องเรียนของจำเลยถือได้ว่าเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรมป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม และติชมด้วยความเป็นธรรมซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329(1)(3) ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share