แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยใช้มีดจะแทงโจทก์ตั้งแต่ก่อนโจทก์จำเลยจะมีบุตรด้วยกัน ต่อมาโจทก์เห็นว่าจำเลยเป็นภริยาและมีบุตรด้วยกัน จึงไม่ร้องทุกข์กล่าวโทษจำเลย แสดงว่าโจทก์ได้ให้อภัยจำเลยแต่แรกแล้ว ถือได้ว่าสิทธิฟ้องหย่าในข้อนี้ย่อมหมดไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1518
โจทก์จำเลยต่างสมัครใจแยกกันอยู่ โจทก์จะกล่าวหาว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไม่ได้
ความสามารถและฐานะของโจทก์ดีกว่าจำเลย โจทก์ผู้เป็นสามีจึงต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูจำเลยซึ่งเป็นภริยาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1461 ประกอบด้วยมาตรา 1598/38
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากันมีบุตร ๑ คน เมื่อต้นปี ๒๕๑๙ จำเลยประพฤติตนเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาโดยทะเลาะวิวาทกับโจทก์ ใช้มีดแทงทำร้ายโจทก์ได้รับบาดเจ็บ โจทก์เห็นว่าจำเลยเป็นภริยามีบุตรด้วยกัน จึงมิได้ร้องทุกข์กล่าวโทษโจทก์ ต่อมาจำเลยพาบุตรไปอาศัยอยู่ที่อื่นเป็นการจงใจละทิ้งร้างโจทก์เกินกว่าหนึ่งปี ขอให้พิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน ให้จำเลยไปจดทะเบียนหย่า ถ้าจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย และให้จำเลยส่งมอบบุตรมาอยู่ในความปกครองของโจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่เคยทะเลาะหรือทำร้ายร่างกายโจทก์ พี่สาวโจทก์ทุบตีด่าว่าและไล่จำเลย โจทก์จึงพาจำเลยและบุตรไปอยู่กับมารดาจำเลยแล้วโจทก์ไม่ยอมส่งเสียค่าอุปการะเลี้ยงดูจำเลยและบุตร จึงฟ้องแย้งขอให้โจทก์จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูจำเลยและบุตรเดือนละ ๓,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะตายและบุตรบรรลุนิติภาวะ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยมีรายได้พอที่จะอุปการะเลี้ยงดูบุตรเมื่อจำเลยออกจากบ้านโจทก์ จำเลยได้นำทรัพย์สินของโจทก์ไปด้วยมีจำนวนมากพอที่จำเลยจะใช้จ่ายเลี้ยงดูตนเองได้ตลอดชีวิต ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้จำเลยให้เงินเป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่จำเลยเดือนละ ๑,๕๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องแย้งไปจนกว่าจำเลยจะตายหรือสมรสใหม่
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยใช้มีดจะแทงโจทก์ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนโจทก์จำเลยจะมีบุตรด้วยกัน ทั้งโจทก์บรรยายฟ้องโดยชัดแจ้งว่าโจทก์เห็นว่าจำเลยเป็นภริยาและมีบุตรด้วยกัน จึงไม่ร้องทุกข์กล่าวโทษจำเลย จึงแสดงว่าโจทก์ได้ให้อภัยแก่จำเลยมาแต่แรกแล้ว ถือได้ว่าสิทธิฟ้องหย่าในข้อนี้หมดไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๑๘
ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์เกินกว่า ๑ ปีนั้น พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า โจทก์จำเลยต่างนำสืบรับกันฟังได้ว่า จำเลยและบุตรไปอยู่กับมารดาจำเลยโดยโจทก์เป็นผู้พาไปส่งขนเสื้อผ้าไปให้และนำรถยนต์ไปให้จำเลยใช้สอย ต่อมาโจทก์ขอให้จำเลยกลับแต่จำเลยไม่ยอมกลับ ในที่สุดบิดาโจทก์จะให้เงินไปซื้อตึกแถวเพื่อแยกมาตั้งครอบครัวและประกอบอาชีพต่างหาก ดังนั้นการที่จำเลยพาบุตรไปอยู่กับมารดาจำเลยจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาจงใจละทิ้งร้างโจทก์ หลังจากที่โจทก์จำเลยตกลงกันไม่ได้ว่าจะซื้อตึกแถว ณ ที่ใด โจทก์ได้มาขอรับรถยนต์คืนไปจากจำเลยแม้จำเลยจะเบิกความรับว่าจำเลยไม่ได้ติดต่อกับโจทก์มา ๒ ปีเศษแล้ว และเงินค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่โจทก์เคยให้มาแต่แรกที่มาอยู่กับมารดาจำเลย โจทก์ก็ไม่นำมาจ่ายให้อีก พฤติการณ์ที่โจทก์จำเลยแยกกันอยู่และโจทก์ไม่ส่งเสียอุปการะเลี้ยงดูจำเลยถือได้ว่า โจทก์จำเลยต่างสมัครใจแยกกันอยู่โจทก์จะกล่าวหาว่าจำเลยมีเจตนาจงใจละทิ้งร้างโจทก์หาได้ไม่
ที่โจทก์ฎีกาว่าโจทก์ไม่จำต้องจ่ายเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูจำเลยเพราะจำเลยไม่ได้ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยอยู่ต่างหากนั้นพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า เดิมจำเลยอยู่กินเป็นสามีภริยากับโจทก์อยู่ในบ้านของโจทก์ โจทก์มีอาชีพประกอบการค้าร่วมกับบิดา จำเลยไม่มีอาชีพอะไร โจทก์เคยจ่ายเงินเป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูจำเลยมาตลอด ครั้นเมื่อโจทก์ยินยอมให้จำเลยพาบุตรมาอยู่กับมารดาจำเลย โจทก์ก็ยังจ่ายเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูจำเลยอยู่ ครั้นต่อมาเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์จำเลยต่างสมัครใจแยกกันอยู่ โจทก์มีความสามารถและฐานะดีกว่าจำเลยดังจะเห็นได้ว่าโจทก์และบิดาโจทก์เคยรับปากจะซื้อตึกแถวเพื่อประกอบอาชีพการค้าร่วมกับจำเลย เมื่อคำนึงถึงความสามารถและฐานะดังกล่าวของโจทก์ ย่อมเป็นที่เห็นประจักษ์แจ้งว่าโจทก์ดีกว่าจำเลย โจทก์ผู้เป็นสามีจึงต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูจำเลยซึ่งเป็นภริยาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๖๑ ประกอบด้วยมาตรา ๑๕๙๘/๓๘ ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้โจทก์จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูจำเลยเดือนละ ๑,๕๐๐ บาทจึงเป็นการเหมาะสมแล้ว
พิพากษายืน