คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3813/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ก่อนคดีนี้จำเลยเคยยื่นคำร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งว่าจำเลยครอบครองที่พิพาทโดยปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์ ต่อมาโจทก์คดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยคดีนี้เป็นจำเลยในคดีอาญาฐานเบิกความเท็จในคดีแพ่งดังกล่าว การจะพิจารณาว่าคดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังกล่าวหรือไม่นั้นจะต้องปรากฏว่าความรับผิดในทางแพ่งในคดีนี้เกิดขึ้นจากผลของการกระทำผิดอาญาโดยตรง ที่จำเลยเป็นพยานเบิกความเท็จในคดีแพ่งไม่ก่อให้เกิดผลโดยตรงที่ทำให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาท เหตุที่ทำให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ในคดีแพ่งดังกล่าวเพราะศาลฟังว่าจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทต่อมาจนได้กรรมสิทธิ์ คดีนี้จึงไม่เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายหรือทรัพย์สินหรือราคาที่สูญหายไปเนื่องจากการกระทำผิดอาญา ไม่ทำให้คดีนี้กลายเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา (วรรคนี้วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่) ที่จำเลยฎีกาว่าศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยเป็นฝ่ายนำสืบก่อนเป็นการไม่ชอบนั้น การกำหนดภาระการพิสูจน์และหน้าที่นำสืบศาลชั้นต้นมีอำนาจที่จะกำหนดให้คู่ความฝ่ายใดนำสืบก่อนก็ได้การกำหนดภาระการพิสูจน์ในคดีนี้ไม่ได้ถือเอาเหตุที่จำเลยมีภาระการพิสูจน์มาวินิจฉัยให้จำเลยแพ้คดี การที่จำเลยมีภาระการพิสูจน์หรือไม่มีผลเปลี่ยนแปลงผลแห่งคดี ฎีกาของจำเลยจึงไม่เป็นสาระแก่คดี ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานจำเลยโดยทนายจำเลยลงชื่อทราบนัดในรายงานกระบวนพิจารณานัดสืบพยานดังกล่าว ครั้นถึงวันนัดทนายจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอ้างว่าติดรังวัดทำแผนที่พิพาทในคดีอื่นเป็นการไม่รับผิดชอบในวันนัดของตนที่ได้นัดไว้กับศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดี โดยให้สืบพยานจำเลยไปโดยไม่มีทนายจำเลยซักถาม จึงไม่ใช่การดำเนินกระบวนพิจารณาที่มิชอบด้วยกฎหมายและผิดระเบียบ ส่วนที่ในวันนัดสืบพยานโจทก์นัดที่สองซึ่งนัดสืบพยานโจทก์เวลา 8.30 นาฬิกา แต่โจทก์มาศาลเมื่อเวลา11.45 นาฬิกา โดยโจทก์ได้แจ้งให้ศาลทราบทางโทรศัพท์ก่อนหน้านั้นแล้วว่ารถเสียระหว่างเดินทางมาศาล การที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจเลื่อนการสืบพยานโจทก์ดังกล่าวไปเป็นตอนบ่ายโดยไม่ยอมให้โจทก์เลื่อนคดีไปนั้น เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ให้ความเป็นธรรมแก่โจทก์และจำเลยโดยชอบ มิใช่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยผิดระเบียบ โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้แก่โจทก์ เป็นคดีฟ้องเรียกอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142(1)ถ้าศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี เมื่อศาลเห็นสมควร ศาลจะมีคำสั่งให้ขับไล่จำเลยก็ได้ คำสั่งเช่นว่านี้ให้ใช้บังคับตลอดถึงวงศ์ญาติทั้งหลายและบริวารของจำเลยที่อยู่บนอสังหาริมทรัพย์นั้นด้วยเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้โจทก์ชนะคดี ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจพิพากษาเกินคำขอตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา142(1) และ 246 ให้จำเลยรื้อถอนบ้านออกไป ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาท อันเป็นการขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่พิพาทได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรและผู้จัดการมรดกของนายยังและนางเนื่อง อ่วมสำอางค์ ที่ดินโฉนดเลขที่ 172 ตำบลชะอำอำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เนื้อที่ 19 ไร่ 20 ตารางวา เป็นทรัพย์มรดกของนายยัง นางเนื่อง เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2527จำเลยได้เบิกความเท็จในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 23/2527 ของศาลชั้นต้นว่า นางเนื่องได้ยกที่ดินแปลงดังกล่าวบางส่วนทางด้านทิศเหนือเนื้อที่ประมาณ 5 ไร่ ให้แก่จำเลย จำเลยได้ครอบครองด้วยความสงบเปิดเผย และเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลา 20 ปีแล้ว ซึ่งเป็นความเท็จความจริงแล้วนางเนื่องไม่เคยยกที่ดินดังกล่าวให้จำเลย นางเนื่องได้ให้ผู้อื่นทำกินส่วนหนึ่งและให้จำเลยเช่าทำนาอีกส่วนหนึ่งจำเลยเพิ่งเข้ามาอาศัยผู้อื่นนั้นปลูกโรงเล็ก ๆ ในที่ดินของนายยังนางเนื่องเมื่อประมาณ 8 ปี ก่อนฟ้อง เนื้อที่ 100 ตารางวาและเมื่อ 5-6 ปี ก่อนฟ้อง จำเลยได้สร้างรั้วไม้ขัดแตะทางด้านทิศเหนือเพียงด้านเดียวยาว 10 วา และเมื่อ 3-4 ปี ก่อนฟ้องจำเลยได้ถมดินทางด้านทิศตะวันออก และปลูกโรงเพิ่มขึ้นอีก ต่อมาใน พ.ศ. 2526 จำเลยจึงได้ล้อมรั้วทั้งสี่ด้านโดยขยายเนื้อที่ออกไปประมาณ 2 ไร่ จากการเบิกความเท็จของจำเลยดังกล่าวทำให้ศาลชั้นต้นหลงเชื่อมีคำสั่งให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวโดยการครอบครองเนื้อที่ประมาณ 5 ไร่ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 172ตำบลชะอำ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เนื้อที่ประมาณ 5 ไร่แก่โจทก์ ถ้าไม่ยอมโอนให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย หากจำเลยไม่สามารถโอนที่ดินดังกล่าวคืนแก่โจทก์ได้ให้จำเลยชดใช้ราคาที่ดินแก่โจทก์เป็นเงิน 500,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จ
จำเลยให้การว่า เมื่อประมาณ 20 ปี ก่อนยื่นคำให้การ นายยังนางเนื่อง ได้ยกที่ดินโฉนดเลขที่ 172 ตำบลชะอำ อำเภอชะอำจังหวัดเพชรบุรี ของนายยัง นางเนื่อง ด้านทิศเหนือเนื้อที่5 ไร่ ให้จำเลยซึ่งขณะนั้นที่ดินมีสภาพเป็นป่า จำเลยได้หักร้างถางป่าครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวโดยความสงบ เปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลาเกิน 10 ปี แล้ว ไม่มีผู้ใดคัดค้านเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2527 จำเลยได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่าได้ครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวจนได้กรรมสิทธิ์แล้ว ศาลมีคำสั่งว่าที่ดินแปลงดังกล่าวเนื้อที่ประมาณ 5 ไร่ เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 172 ตำบลชะอำอำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เนื้อที่ 5 ไร่ แก่โจทก์ ถ้าไม่โอนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย หากไม่สามารถโอนได้ให้ใช้ราคา 500,000 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งและคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีในชั้นอุทธรณ์อย่างคนอนาถา ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยรื้อถอนบ้านของจำเลยซึ่งปลูกอยู่ในที่พิพาทและขนย้ายออกไปจากที่พิพาทพร้อมบริวาร ห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้องกับที่พิพาทอีกต่อไป นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ระหว่างรอส่งสำนวนสู่ศาลฎีกา เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเพชรบุรีมีหนังสือถึงศาลชั้นต้นว่า จำเลยได้ยื่นคำร้องขอรังวัดแบ่งที่พิพาทตามคำสั่งศาลชั้นต้น ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 23/2527โจทก์คัดค้านว่า ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านของจำเลยออกจากที่พิพาท จำเลยยืนยันให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการรังวัดต่อไปโดยอ้างว่าคดีนี้ยังไม่ถึงที่สุด ขอทราบว่าคดีนี้ถึงที่สุดหรือยัง และจะดำเนินการตามคำขอของจำเลยได้หรือไม่ศาลชั้นต้นคำสั่งลงวันที่ 12 มีนาคม 2533 ว่าคดีนี้ยังไม่ถึงที่สุดอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ในระหว่างนี้ให้งดการดำเนินการตามคำขอของจำเลยไว้ก่อนจนกว่าศาลฎีกาจะมีคำพิพากษา จำเลยยื่นคำแถลงขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเพชรบุรีดำเนินการตามคำขอของจำเลยต่อไป ศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงวันที่ 14มีนาคม 2533 ยกคำแถลง
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นทั้งสองคำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดการดำเนินการรังวัดที่พิพาท ให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการรังวัดตามคำขอของจำเลย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏว่าคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 995/2528โจทก์คดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยคดีนี้เป็นจำเลยขอให้ลงโทษฐานเบิกความเท็จในคดีแพ่ง ที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทคดีนี้โดยปรปักษ์ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 จำคุก 1 ปีศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นลงโทษปรับและรอการลงโทษ คดีถึงที่สุดในชั้นศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า การพิจารณาว่าคดีนี้จะเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่995/2528 หรือไม่ จะต้องปรากฏว่าความรับผิดในทางแพ่งในคดีนี้เกิดขึ้นเนื่องจากผลของการกระทำผิดอาญาโดยตรง ที่จำเลยเบิกความเท็จในการเบิกความเป็นพยานในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 23/2527 ไม่ก่อให้เกิดผลโดยตรงที่ทำให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทในคดีนี้ เหตุที่ทำให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 23/2527 เพราะศาลฟังว่าจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทต่อมาจนได้กรรมสิทธิ์ กรณีจึงไม่เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายหรือทรัพย์สินหรือราคาที่สูญหายไปเนื่องจากการกระทำผิดอาญา จึงไม่ทำให้คดีนี้กลายเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่995/2528 ของศาลชั้นต้น ไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา
ส่วนประเด็นข้อพิพาทว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือของจำเลยวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์
ที่จำเลยฎีกาเกี่ยวกับคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นนั้น เห็นว่า การกำหนดภาระการพิสูจน์และหน้าที่นำสืบนั้นศาลชั้นต้นมีอำนาจที่จะกำหนดให้คู่ความฝ่ายใดนำสืบก่อนก็ได้การกำหนดภาระการพิสูจน์ในคดีนี้ ก็ไม่ได้ถือเอาเหตุที่จำเลยมีภาระการพิสูจน์มาวินิจฉัยให้จำเลยแพ้คดี การที่จำเลยมีภาระการพิสูจน์หรือไม่ ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงผลแห่งคดี ฎีกาข้อนี้ของจำเลยจึงไม่เป็นสาระแก่คดี ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้ สำหรับคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีนั้น ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นว่าศาลนัดสืบพยานจำเลย วันที่ 26กันยายน และ 9 ตุลาคม ศกนี้เวลา 9.00 นาฬิกา ทนายจำเลยได้ลงชื่อทราบนัดในรายงานดังกล่าว แต่เมื่อถึงวันที่ 9 ตุลาคม 2528 ทนายจำเลยกลับยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอ้างว่าติดรังวัดทำแผนที่พิพาทในคดีอื่น เป็นการไม่รับผิดชอบในวันนัดของตนที่ได้นัดไว้กับศาลศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีชอบแล้ว การที่ศาลชั้นต้นสั่งสืบให้พยานจำเลยไปโดยไม่มีทนายจำเลยมาซักถาม จึงไม่ใช่การดำเนินกระบวนพิจารณาที่มิชอบด้วยกฎหมายและผิดระเบียบตามที่จำเลยฎีกา ส่วนการที่โจทก์มาศาลล่าช้าในวันสืบพยานโจทก์นัดที่สองนั้น ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นว่าโจทก์มาศาลเมื่อเวลา 11.45 นาฬิกา ซึ่งนัดสืบพยานโจทก์ไว้เวลา8.30 นาฬิกา การที่โจทก์มาศาลล่าช้า โจทก์ได้แจ้งให้ศาลทราบทางโทรศัพท์ก่อนศาลออกนั่งพิจารณาและก่อนจำเลยยื่นคำร้องแล้วว่ารถเสียระหว่างเดินทาง เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจเลื่อนเวลาสืบพยานโจทก์ออกไปได้ การสืบพยานนัดนั้นก็มิใช่เป็นการสืบพยานนัดแรก จึงไม่อาจถือได้ว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณา การสั่งให้สืบพยานโจทก์ในตอนบ่ายของศาลชั้นต้นโดยไม่ยอมให้โจทก์เลื่อนคดีไปนั้น เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ให้ความเป็นธรรมแก่โจทก์และจำเลยโดยชอบแล้ว มิใช่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยผิดระเบียบตามที่จำเลยฎีกา ฎีกาของจำเลยที่ว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาเกินคำขอเพราะโจทก์ฟ้องจำเลยในฐานละเมิดเรียกค่าเสียหายและตามคำขอท้ายฟ้อง มิได้ขอให้ขับไล่หรือรื้อถอนบ้าน ศาลอุทธรณ์กลับมีคำพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านของจำเลยซึ่งปลูกในที่พิพาทและขนย้ายออกไปจากที่ดินพร้อมบริวาร ห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้องกับที่พิพาทอีกต่อไป โดยหยิบยกเอาประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(1) และ 246 ขึ้นวินิจฉัยนั้นวินิจฉัยว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ จึงเป็นคดีฟ้องเรียกอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(1) ถ้าศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี เมื่อศาลเห็นสมควร ศาลจะมีคำสั่งให้ขับไล่จำเลยก็ได้ คำสั่งเช่นว่านี้ให้ใช้บังคับตลอดถึงวงศ์ญาติทั้งหลายและบริวารของจำเลยที่อยู่บนอสังหาริมทรัพย์นั้นด้วย เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้โจทก์ชนะคดี ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจพิพากษาเกินคำขอตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(1) และ 246 ให้จำเลยรื้อถอนบ้านออกไปและห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาทต่อไป อันเป็นการขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่พิพาทได้
ฎีกาของจำเลยที่คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ลงวันที่ 5 กันยายน2533 ที่พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นให้งดการดำเนินการตามคำขอของจำเลยไว้จนกว่าศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวก็ไม่จำเป็นที่ศาลฎีกาจะต้องวินิจฉัยให้เช่นกัน การที่ศาลมีคำสั่งศาลไปขอจดทะเบียนให้จำเลยมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินได้ ที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยโอนที่พิพาทคืนให้โจทก์ก็เท่ากับขอให้ที่พิพาทมีชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดไม่ให้มีชื่อจำเลย เมื่อจำเลยยังไม่ได้จดทะเบียนให้จำเลยมีชื่อในโฉนดที่ดินส่วนที่พิพาทก็ควรจะพิพากษาห้ามมิให้จำเลยนำคำสั่งของศาลดังกล่าวไปจดทะเบียนลงชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทอีกต่อไป
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ลงวันที่ 14 พฤศจิกายน 2532เป็นว่า ที่พิพาทที่ศาลชั้นต้นสั่งในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่23/2527 ของศาลชั้นต้นว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 นั้น เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ห้ามจำเลยนำคำพิพากษาดังกล่าวไปเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์และพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ลงวันที่ 5 กันยายน 2533 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาทั้งสองคดีให้เป็นพับ

Share