คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2812/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน200,000บาทจึงเป็นคดีต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงมาว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินของโจทก์และที่ดินของจำเลยมีเลขที่ดินต่างกันทั้งรูปที่ดินทั้งสองแปลงก็ไม่เหมือนกันฟังไม่ได้ว่าน.ส.3ก.ของจำเลยออกทับน.ส.3ก.ของโจทก์โจทก์จึงร้องขอให้เพิกถอนน.ส.3ก.ของจำเลยไม่ได้การที่โจทก์ฎีกาว่าล.พยานโจทก์เบิกความว่าที่ดินพิพาทเป็นของตนได้มาโดยทางมรดกต่อมาได้ขายให้แก่อ.ต่อมาอ.ขายให้แก่โจทก์โจทก์ได้ครอบครองต่อเนื่องมาจำเลยมิใช่ผู้มีสิทธิในที่ดินพิพาทการที่จำเลยไปขอออกเอกสารสิทธิในที่ดินจึงเป็นการออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบกรณีมีเหตุเพิกถอนน.ส.3ก.ของจำเลยเพราะออกทับที่ดินน.ส.3ก.ของโจทก์นั้นจึงเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมาเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายว่ามีเหตุเพิกถอนน.ส.3ก.ของจำเลยหรือไม่จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินสวนมะพร้าว เนื้อที่ประมาณ3 งาน 40 ตารางวา ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 3 ตำบลบาเจาะ อำเภอบาเจาะจังหวัดนราธิวาส โดยโจทก์ซื้อมาจากนางแอเสาะ มิดิง ในราคา23,000 บาท เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2533 ตาม น.ส. 3 ก.เลขที่ 3233 เลขที่ดิน 834 หน้า 33 ครั้นเมื่อประมาณกลางเดือนมีนาคม 2534 จำเลยได้ถอนต้นลองกองจำนวน 30 ต้น ราคาต้นละ30 บาท ซึ่งปลูกในที่ดินของโจทก์ดังกล่าว โดยอ้างว่าที่ดินเป็นของจำเลย ซึ่งได้ออก น.ส.3 ก.เลขที่ 3232 เลขที่ดิน 833 หน้า 32เมื่อโจทก์นำเจ้าพนักงานที่ดินไปทำการรังวัดที่ดินพิพาทเพื่อตรวจสอบแนวเขต จำเลยกลับโต้แย้งสิทธิและไม่ยอมให้เข้าทำการตรวจสอบโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยไปเพิกถอน น.ส.3 ก. ของจำเลย และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าต้นลองกอง จำนวน 30 ต้นเป็นเงิน 900 บาท แก่โจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย ขอศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทตามเอกสาร น.ส.3 ก. เลขที่ 3233 เลขที่ 834 หน้า 33เป็นสิทธิของโจทก์ห้ามจำเลยเข้ายุ่งเกี่ยว ให้จำเลยเพิกถอนน.ส.3 ก. เลขที่ 3232 เลขที่ดิน 833 หน้า 32 ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 3 ตำบลบาเจาะ อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาสภายใน 15 วัน นับแต่วันพิพากษาหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยและให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 900 บาท
จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยตาม น.ส.3 ก.เลขที่ 3232 เลขที่ดิน 833 หน้า 32 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามน.ส.3 ก. เลขที่ 3233 เลขที่ดิน 834 หน้า 33 ตั้งอยู่ที่ตำบลบาเจาะ อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส ห้ามมิให้จำเลยเข้าเกี่ยวข้อง ให้จำเลยเพิกถอนน.ส.3 ก. เลขที่ 3232 เลขที่ 833หน้า 32 ตั้งอยู่ตำบลบาเจาะ อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาสภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ศาลพิพากษา หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 720 บาท แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอที่ให้จำเลยไปเพิกถอน น.ส.3 ก. เลขที่ 3232 เลขที่ดิน 833 หน้า 72(ที่ถูก 32) ตำบลบาเจาะ อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาสและจำเลยไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหาย 720 บาท แก่โจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท จึงเป็นคดีต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังข้อเท็จจริงมาว่า หนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินของโจทก์และที่ดินของจำเลยมีเลขที่ดินต่างกันทั้งรูปที่ดินทั้งสองแปลงก็ไม่เหมือนกัน ฟังไม่ได้ว่า น.ส.3 ก.ของจำเลยออกทับ น.ส.3 ก. ของโจทก์ โจทก์จึงร้องขอให้เพิกถอน น.ส.3 ก.ของจำเลยไม่ได้ การที่โจทก์ฎีกาว่านายแลหะมะ เจ๊ะลี พยานโจทก์เบิกความว่าที่ดินพิพาทเป็นของตนได้มาโดยทางมรดก ต่อมาได้ขายให้แก่นางแอเสาะต่อมานางแอเสาะขายให้แก่โจทก์ โจทก์ได้ครอบครองต่อเนื่องมาจำเลยมิใช่ผู้มีสิทธิในที่ดินพิพาท การที่จำเลยไปขอออกเอกสารสิทธิในที่ดิน จึงเป็นการออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบ กรณีมีเหตุเพิกถอนน.ส.3 ก. เลขที่ 3232 เลขที่ดิน 833 หน้า 32 ของจำเลยเพราะออกทับที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 3233 ของโจทก์นั้น จึงเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 รับฟังมาเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายว่ามีเหตุเพิกถอน น.ส.3 ก. ของจำเลยหรือไม่จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง มิใช่ปัญหาข้อกฎหมายฎีกาของโจทก์จึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาของโจทก์

Share