คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3811/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยฎีกาว่าผู้ร้องทุกข์แทนโจทก์ร่วมเป็นเพียงลูกจ้างมิใช่ตัวแทน ของโจทก์ร่วม และโจทก์ร่วมก็ไม่ได้มอบอำนาจให้ไว้ในขณะร้องทุกข์ การร้องทุกข์จึงไม่ถูกต้อง การสอบสวนคดีนี้จึงไม่ชอบ เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าการสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
จำเลยฎีกาว่าพยานโจทก์สร้างพยานหลักฐานเท็จขึ้นมาเป็นเหตุให้ศาลหลงเชื่อข้อเท็จจริงในทางที่เป็นผลร้ายแก่จำเลย ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของศาลจึง เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒
ธนาคารทหารไทย จำกัด ผู้เสียหายโดยนางเอมอร เกิดอินทร์ ผู้รับมอบอำนาจขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๕๒ ให้จำคุก ๑ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุก ๑ ปี คดีจึงต้องห้ามคู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๘ ที่จำเลยฎีกาว่านางเอมอรผู้ร้องทุกข์แทนโจทก์ร่วม เป็นเพียงลูกจ้างมิใช่ตัวแทนของโจทก์ร่วมและโจทก์ร่วมก็ไม่ได้มอบอำนาจให้ไว้ในขณะร้องทุกข์ การร้องทุกข์จึงไม่ถูกต้องการสอบสวนคดีนี้จึงไม่ชอบ เห็นว่า ข้อฎีกาของจำเลยดังกล่าวเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายตามที่จำเลยยกขึ้นอ้างว่าการสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า พยานโจทก์สร้างพยานหลักฐานเท็จขึ้นมา เป็นเหตุให้ศาลหลงเชื่อข้อเท็จจริงในทางที่เป็นผลร้ายแก่จำเลย ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๗แท้จริงแล้วเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของศาลเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงอีกเช่นกัน จึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาจำเลย.

Share