แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำว่าพ้นโทษตามมาตรา 68 แห่งพระราชบัญญัติฝิ่น พ.ศ.2472ก็คือพ้นโทษที่ได้รับจริงๆในคดีก่อนเมื่อในคดีก่อนจำเลยไม่ได้รับโทษจำคุกโดยศาลรอการลงโทษไว้มีกำหนด 1ปีจึงไม่มีวันพ้นโทษจำคุกที่จะถือเอาเป็นเกณฑ์ในการเพิ่มโทษจำเลยได้และการที่ศาลรอการลงโทษจำคุกไว้ ก็ไม่ใช่โทษซึ่งเมื่อครบ 1 ปีตามที่รอไว้แล้วจะได้เป็นการพ้นโทษไปได้ในตัวทั้งมาตรา 58 วรรคสองแห่งประมวลกฎหมายอาญาก็บัญญัติไว้ด้วยว่าถ้าภายในเวลาที่ศาลได้กำหนดตามมาตรา 56 ผู้นั้นมิได้กระทำความผิดดังกล่าวในวรรคแรกของ มาตรา 58 นั้น ก็ให้ผู้นั้นพ้นจากการที่จะถูกลงโทษในคดีนั้นซึ่งก็แสดงอยู่ชัดแจ้งว่าผู้นั้นหรือจำเลยไม่เคยถูกลงโทษมาก่อนนั่นเองกรณีจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยพ้นโทษแล้วยังไม่ครบ 3 ปี มากระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติฝิ่นนี้อีกจึงเพิ่มโทษจำเลยตามมาตรา 68 แห่งพระราชบัญญัติฝิ่น พ.ศ.2472 ไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีฝิ่นดิบหนัก 4 กิโลกรัมไว้ในความครอบครองโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ก่อนคดีนี้จำเลยซึ่งมีอายุเกิน 17 ปีแล้ว เคยต้องระวางโทษตามพระราชบัญญัติฝิ่น พ.ศ. 2472 ตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลจังหวัดเลยมาแล้ว ศาลพิพากษาลงโทษจำคุก 3 เดือน ปรับ 2,500 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2525 พ้นโทษแล้วยังไม่ครบ 3 ปี จำเลยกลับมากระทำความผิดในคดีนี้อีก ขอให้ลงโทษและเพิ่มโทษตามพระราชบัญญัติฝิ่น พ.ศ. 2472 มาตรา 53, 68, 69 พระราชบัญญัติฝิ่น (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2502 มาตรา 5 ริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเคยต้องโทษและพ้นโทษจริงตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติฝิ่น พ.ศ. 2472 มาตรา 53, 69 พระราชบัญญัติฝิ่ร (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2502 มาตรา 5 ให้จำคุก 4 ปีเพิ่มโทษตามมาตรา 68(1) เป็นจำคุก 4 ปี และปรับ 800,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก 2 ปี และปรับ 400,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 มีกำหนดเวลา 2 ปี ของกลางให้ริบ
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษน้อยลงและรอการลงโทษ กับขอให้ยกคำขอเพิ่มโทษของโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความตามฟ้องโจทก์ว่า จำเลยเคยกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติฝิ่น พ.ศ. 2472 ศาลพิพากษาลงโทษจำคุก 3 เดือน ปรับ 2,500 บาทโทษจำคุกรอการลงโทษไว้ 1 ปี โดยศาลมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2525 จำเลยได้มากระทำผิดในคดีนี้อีก เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2526 เห็นว่า ตามมาตรา 68 แห่งพระราชบัญญัติฝิ่น พ.ศ. 2472 บัญญัติว่า “ผู้ใดกระทำผิดต้องระวางโทษตามพระราชบัญญัตินี้ เมื่อพ้นโทษแล้ว ยีงไม่ครบสามปี กระทำผิดต่อพระราชบัญญัตินี้อีก
(1) ถ้าโทษซึ่งกำหนดไว้สำหรับความผิดที่กระทำครั้งหลังเป็นโทษปรับหรือจำคุกก็ให้วางโทษทั้งปรับทั้งจำ
(2) ถ้าโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่กระทำครั้งหลังเป็นแต่เพียงโทษปรับก็ให้ปรับทวีคูณ”
คำว่าพ้นโทษตามมาตรา 68 แห่งพระราชบัญญัติฝิ่น พ.ศ. 2472 ดังกล่าวข้างต้นก็คือพ้นโทษที่ได้รับจริง ๆ ในคดีที่ก่อนนั่นเอง เมื่อในคดีก่อนจำเลย ไม่ได้รับโทษจำคุกจึงไม่มีวันพ้นโทษจำคุกที่จะถือเอาเป็นเกณฑ์ในการเพิ่มโทษจำเลยได้และการที่ศาลรอการลงโทษจำคุกไว้ก็ไม่ใช่เพียงซึ่งเมื่อครบ 1 ปี ตามที่รอไว้แล้วจะได้เป็นการพ้นโทษไปได้ในตัว ทั้งตามมาตรา 58 วรรคสองแห่งประมวลกฎหมายอาญาก็บัญญัติไว้ด้วยว่า ถ้าภายในเวลาที่ศาลได้กำหนดตามมาตรา 56 ผู้นั้นมิได้กระทำความผิดดังกล่าวในวรรคแรกของมาตรา 58 นั้น ก็ให้ผู้นั้นพ้นจากการที่จะถูกลงโทษในคดีนั้นซึ่งก็แสดงอยู่ชัดแจ้งว่าผู้นั้นหรือจำเลบยไม่เคยถูกลงโทษมาก่อนนั้นเอง กรณีจึงถือไม่ได้ว่า จำเลยพ้นโทษแล้วยังไม่ครบ 3 ปี มากระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติฝิ่นนี้อีกจึงเพิ่มโทษจำเลยตาม มาตรา 68 แห่งพระราชบัญญัติฝิ่น พ.ศ. 2472 ไม่ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทเพิ่มโทษจำเลยมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาจำเลยฟังขึ้นกรณีความผิดตามพระราชบัญญัติฝิ่น พ.ศ. 2472 มาตรา 53 นี้ บัญญัติให้ลงโทษจำคุกและปรับ ศาลฎีกาเห็นสมควรลงโทษจำคุกจำเลยผู้กระทำผิดแต่เพียงสถานเดียวโดยไม่ลงโทษปรับ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 20
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติฝิ่น พ.ศ. 2472 มาตรา 53แก้ไขโดยพระราชบัญญัติฝิ่น (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2502 มาตรา 5 ให้จำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอันเป็นเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์