คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1657/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายเป็นนายตรวจสรรพสามิต จับจำเลยที่ 2 ในข้อหามีสุราผิดกฎหมาย ขณะพาไปจวนถึงหน้าร้านจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ล้วงปืนพกของผู้เสียหายด้วยเจตนาต่อสู้ขัดขวางการจับกุม มิได้มีเจตนาลัก แล้ววิ่งหนีไปส่งปืนให้จำเลยที่ 1 ผู้เป็นบิดา เป็นเวลากระทันหันในทันทีทันใดไม่มีพฤติการณ์ให้รู้มาก่อนว่าจำเลยที่ 2 ถูกจับแล้วหนีมา ผู้เสียหายไม่แต่งเครื่องแบบ ทั้งไม่ได้แจ้งให้ทราบว่าปืนนั้นเป็นของตน การที่ผู้เสียหายเข้าแย่งปืนจำเลยที่ 1 ไม่ยอมให้นั้นน่าจะเพื่อมิให้เกิดเหตุร้ายเท่านั้น การที่จำเลยเอาปืนไว้ภายหลังจากที่ผู้เสียหายไปแจ้งความ ไม่พอถือว่ามีเจตนาทุจริตลักเอาปืนนั้นไว้ แม้ต่อมาภายหลังจำเลยจะต่อสู้คดีว่ามิได้เอาปืนไว้และผู้เสียหายยังไม่ได้ปืนคืน ก็ไม่พอบ่งว่าจำเลยมีเจตนาทุจริต จำเลยที่ 1 ไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์ แต่ศาลมีอำนาจสั่งให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้ราคาปืนแก่ผู้เสียหายได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ผู้เสียหายเป็นนายตรวจสรรพสามิต จับจำเลยที่2, 3 ในข้อหามีสุราผิดกฎหมาย ขณะเดินทางไปสถานีตำรวจ จำเลยทั้งสี่ร่วมกันต่อสู้ขัดขวาง และร่วมกันปล้นปืนพก ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 138, 140, 340, 83 ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ข้อ 3, 14ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ปล้นเอาไปแก่ผู้เสียหาย

จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 138 วรรคสอง จำเลยที่ 2 อายุ 13 ปี ไม่ต้องรับโทษ ได้ว่ากล่าวตักเตือนแล้วปล่อยตัวไป ยกฟ้องจำเลยที่ 1, 3, 4

โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยทุกคนตามฟ้อง

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(1) จำคุก 1 ปี ให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามที่ศาลล่างฟังมาว่าจำเลยที่ 2เอาปืนของผู้เสียหายไปนั้น จำเลยที่ 2 กระทำไปโดยมีเจตนาเพื่อใช้ในการต่อสู้ขัดขวางการจับกุมของผู้เสียหาย มิได้มีเจตนาลัก เมื่อจำเลยที่ 2 วิ่งหนีผู้เสียหายและเอาปืนไปด้วยนั้น น่าเชื่อตามคำเบิกความของผู้เสียหายว่าได้ส่งปืนให้จำเลยที่ 1 ผู้เป็นบิดาซึ่งจำเลยที่ 2 เรียกให้ช่วยจริง การที่จำเลยที่ 1 รับปืนจากจำเลยที่ 2 เป็นเวลากระทันหันในทันทีทันใด ไม่มีพฤติการณ์ให้จำเลยที่ 1ได้รู้มาก่อนว่าผู้เสียหายจับกุมจำเลยที่ 2 แล้วหลบหนีมา ผู้เสียหายไม่แต่งเครื่องแบบ มิได้แจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบว่าได้จับกุมจำเลยที่ 2 ทั้งไม่ได้แจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบว่าปืนที่จำเลยที่ 2 ส่งให้จำเลยที่ 1 เป็นปืนของผู้เสียหายการที่ผู้เสียหายเข้าแย่งจะเอาปืนจากจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ไม่ยอมให้นั้นน่าจะกระทำไปเพื่อมิให้เกิดเหตุร้ายเท่านั้น ขณะนั้นพวกที่รับประทานสุราอาหารในร้านจำเลยที่ 1 ได้เข้ามากลุ้มรุมทำร้ายผู้เสียหายโดยไม่ปรากฏว่าร่วมรู้กับจำเลยที่ 1 มาก่อน ผู้เสียหายจึงเลิกแย่งปืนจากจำเลยที่ 1 แล้วไปแจ้งความการที่จำเลยที่ 1 เอาปืนไว้ภายหลังจากที่ผู้เสียหายไปแจ้งความไม่พอถือว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตลักเอาปืนนั้นไว้ แม้ต่อมาภายหลังจำเลยจะต่อสู้คดีอ้างว่ามิได้เอาปืนของผู้เสียหายไว้ และผู้เสียหายยังไม่ได้ปืนคืน ก็ไม่พอบ่งว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตลักปืนของผู้เสียหาย จำเลยที่ 1 ไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 1 คืนปืนหรือใช้ราคา 2,500 บาทแก่ผู้เสียหาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share