คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3809/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตอนบนของเอกสารมีชื่อและนามสกุลของจำเลย ถัดไปเป็นรายการลงวันเดือนปีและข้อความว่า “เอาเงิน” กับจำนวนเงินต่างๆ กัน รวม 12 รายการ อีก 5 รายการ มีข้อความว่า “ข้าวสาร” และลงจำนวนไว้ว่า 1 กส.บ้าง 1 ถังบ้าง 3 ถังบ้าง และทุกรายการมีชื่อจำเลยลงกำกับไว้ เอกสารดังกล่าวไม่เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยยืมเงินโจทก์ไปหลายครั้งรวมเป็นเงิน ๑๐,๘๑๐ บาท ตามสำเนารายการใบยืมเงินเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๑ แล้วไม่คืนเงินยืมให้โจทก์ จึงขอให้บังคับจำเลยคืนเงินยืมพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยมีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ เอกสารท้ายฟ้องโจทก์ทำขึ้นฝ่ายเดียว ฟ้องเคลือบคลุมและขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานทั้งสองฝ่ายแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหามีว่า เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๑ เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ยืมหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว ตอนบนของเอกสารดังกล่าวมีชื่อและนามสกุลของจำเลย ถัดไปเป็นรายการลงวันเดือนปีและข้อความว่า “เอาเงิน” กับจำนวนเงินต่าง ๆ กัน รวม ๑๒ รายการ อีก ๕ รายการมีข้อความว่า “ข้าวสาร” และลงจำนวนไว้ว่า ๑ กส.บ้าง ๑ ถังบ้าง ๓ ถังบ้าง และทุกรายการมีชื่อจำเลยกำกับไว้เห็นว่าเอกสารดังกล่าวหาใช่หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๓ ไม่ ดังนั้นข้อกล่าวอ้างของโจทก์ที่ว่าจำเลยยืมเงินไป จึงไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ โจทก์จึงฟ้องคดีไม่ได้
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share