คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3805/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ทั้งสองเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาท แต่เนื่องจากที่ดินพิพาทมีบางส่วนเป็นร่องวังอ่าง ซึ่งเป็นร่องน้ำสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(2) โจทก์ทั้งสองจึงมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนที่มิใช่ร่องวังอ่างสาธารณประโยชน์ ส่วนที่เป็นร่องวังอ่าง สาธารณประโยชน์นั้นเมื่อโจทก์ทั้งสองครอบครองที่ดินพิพาทส่วนนี้อยู่ จึงเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินพิพาทส่วนนี้ดีกว่าจำเลยที่โจทก์ทั้งสองขอให้ห้ามจำเลย และบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาททั้งหมดนั้น จึงห้ามได้เฉพาะส่วนที่โจทก์ทั้งสองมีสิทธิครอบครอง แต่ที่ดินพิพาทส่วนที่เป็นร่องวังอ่าง นั้นไม่อาจห้ามจำเลยมิให้เกี่ยวข้องเสียทั้งหมดได้ เพราะเป็นการขัดวัตถุประสงค์ของการใช้สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทนี้ จะห้ามได้เฉพาะกรณีที่เข้าไปเกี่ยวข้องโดยที่มิใช่เป็นไปเพื่อการใช้ที่ดินตามวัตถุประสงค์ของสาธารณสมบัติของแผ่นดินเท่านั้น

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกันโดยเรียกโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ในสำนวนแรกซึ่งเป็นจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามลำดับ ในสำนวนหลังว่าโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 เรียกจำเลยในสำนวนแรกซึ่งเป็นโจทก์ในสำนวนหลังว่าจำเลย
สำนวนแรก โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปถอนหลักเขตและไถที่ดินของโจทก์ ทำลายต้นมะม่วงและต้นมะขาม รวม 18 ต้นที่โจทก์ทั้งสองปลูกไว้ เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองเสียหายขอให้พิพากษาว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของโจทก์ทั้งสอง ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินของจำเลยโดยมีร่องวังอ่าง สาธารณประโยชน์เป็นแนวเขตคั่นระหว่างที่ดินของโจทก์ทั้งสองและที่ดินของจำเลยจำเลยไม่ได้บุกรุกที่ดินของโจทก์ทั้งสอง แต่โจทก์ทั้งสองเป็นฝ่ายบุกรุกที่ดินพิพาทของจำเลยขอให้ยกฟ้อง
สำนวนหลังโจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองนำรถแทรกเตอร์เข้าไปไถในที่ดินของโจทก์เนื้อที่ประมาณ 5 ไร่ ทำให้โจทก์เสียหายขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทอีกต่อไป
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองครอบครองทำประโยชน์ปลูกไม้ยืนต้นและเลี้ยงสัตว์ในที่ดินพิพาทตลอดมาโดยโจทก์ไม่เคยเข้าเกี่ยวข้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า โจทก์ทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท ยกฟ้องโจทก์ในสำนวนหลัง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับว่า จำเลยเป็นเจ้าของมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท ห้ามโจทก์ทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ยกฟ้องโจทก์ทั้งสองในสำนวนแรก
โจทก์ทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบและไม่โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า โจทก์ทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 52 ตำบลห้วยยาง อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ส่วนจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 53 ตำบลห้วยยาง อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของที่ดินโจทก์ทั้งสอง ระหว่างที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวมีร่องน้ำสาธารณะชื่อร่องวังอ่าง คั่นกลาง ที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ประมาณ 6 ไร่อยู่ทางทิศใต้ของร่องวังอ่าง คดีมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าโจทก์ทั้งสองหรือจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยโจทก์ทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ทั้งสองมีพยานบุคคลซึ่งเคยเป็นเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองท้องถิ่นหลายปากเบิกความสอดคล้องต้องกันยืนยันว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินหัวไร่ปลายนาของที่ดินของโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองกับบิดาเป็นฝ่ายครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมา ส่วนพยานจำเลยนอกจากตัวจำเลยกับนายทองดี แอบสุข บุตรเขยของจำเลยแล้วคงมีแต่นายคงคา วงศ์ชมภู กำนันตำบลห้วยยาง ซึ่งไม่รู้เห็นถึงความเป็นมาเกี่ยวกับที่ดินพิพาท เนื่องจากเพิ่งได้รับเลือกให้เป็นกำนันเมื่อปี 2536 ประกอบกับมีภูมิลำเนาอยู่คนละหมู่บ้านกับโจทก์จำเลยและที่ดินพิพาทคำเบิกความของพยานจำเลยจึงมีน้ำหนักน้อยไม่น่าเชื่อถือ ในข้อนี้โจทก์ทั้งสองเบิกความว่า เดิมที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 52 เป็นของบิดาโจทก์ทั้งสองส่วนที่ดินพิพาทเป็นที่ดินหัวไร่ปลายนาองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวระหว่างที่ดินพิพาทกับที่ดินของบิดาโจทก์ทั้งสองมีร่องน้ำสาธารณะชื่อร่องวังอ่างคั่นอยู่แต่ร่องน้ำนั้นตื้นเขิน มาช้านานแล้ว โจทก์ทั้งสองกับบิดาเข้าไปทำนาและปลูกมะม่วงมะขาม ในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของร่องน้ำที่ตื้นเขิน ก่อนหน้านี้จำเลยเคยมีเรื่องพิพาทกับนายวรบิดาของโจทก์ทั้งสองมาครั้งหนึ่ง ในครั้งนั้นนายอุดม คำมั่น กำนันตำบลห้วยขวาง กับนายสำราญ คำมั่นสารวัตรกำนัน ในขณะนั้นไปดูที่ดินพิพาทและไกล่เกลี่ยให้จำเลยกับบิดาของโจทก์ทั้งสองปรองดองกัน ในที่สุดจำเลยยอมรับว่าที่ดินพิพาทเป็นของนายวร นายอุดมกับนายสำราญได้ปักหลักแสดงแนวเขตที่ดินพิพาทไว้นอกจากนี้โจทก์ทั้งสองยังมีนายอุดม คำมั่น นายสำราญ คำมั่น นายทองสูรย์ เกตุชาติ และนายบัว จันทร์สุข เป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่าเมื่อปี 2516 จำเลยกับนายวรมีกรณีพิพาทกันเกี่ยวกับที่ดินแปลงนี้ในขณะนั้นนายอุดมเป็นกำนันตำบลห้วยยาง นายสำราญเป็นสารวัตรกำนันส่วนนายทองสูรย์และนายบัวเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านซึ่งที่ดินพิพาทอยู่ในเขตอำนาจพยานทั้งสี่ปากพร้อมด้วยจำเลยและบิดามารดาของโจทก์ทั้งสองได้ไปดูที่ดินพิพาทและเจรจาหาทางตกลงกันในที่สุดจำเลยยอมรับว่าที่ดินพิพาทเป็นของบิดาโจทก์ทั้งสองพยานได้ปักหลักเขตไว้ทางทิศใต้ของที่ดินพิพาท เพื่อเป็นแนวเขตระหว่างที่ดินพิพาทกับที่ดินของจำเลย พยานเชื่อว่าโจทก์ทั้งสองกับบิดาเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท เพราะเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมา ฝ่ายจำเลยคงมีแต่ตัวจำเลยกับนายทองดีและนายคงคาเป็นพยานเบิกความว่า ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.1 ระบุว่าแนวเขตที่ดินด้านทิศใต้ของโจทก์ทั้งสองจดร่องวังอ่าง ส่วน ส.ค.1 ของจำเลยเอกสารหมาย ล.1 ระบุว่าที่ดินของจำเลยมีแนวเขตด้านทิศเหนือจดร่องวังอ่างเช่นเดียวกัน และปฏิเสธว่าจำเลยไม่เคยรับว่าที่ดินพิพาทเป็นของบิดาโจทก์ทั้งสอง เห็นว่า นอกจากพยานทั้งสี่ปากของโจทก์ทั้งสองจะเคยเป็นเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองท้องถิ่นในช่วงเวลาที่บิดาของโจทก์ทั้งสองมีกรณีพิพาทกับจำเลยแล้วบุคคลเหล่านี้ยังมีภูมิลำเนาอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันกับที่ดินพิพาทย่อมอยู่ในฐานะที่ควรทราบถึงความเป็นมาของที่ดินพิพาทได้ดีกว่าผู้อื่น ทั้งไม่ปรากฏว่าพยานบุคคลของโจทก์ทั้งสองมีส่วนได้เสียในผลแห่งคดี หรือมีความเกี่ยวพันเป็นญาติกับคู่ความฝ่ายใดถือได้ว่าอยู่ในฐานะคนกลาง น่าเชื่อว่าเบิกความไปตามเหตุการณ์ที่ตนรู้เห็นโดยไม่มีข้อควรระแวงว่าจะปรุงแต่งเรื่องราวขึ้นเพื่อช่วยเหลือโจทก์ทั้งสองแต่ประการใดคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองมีน้ำหนักควรแก่การรับฟัง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ตำหนิว่า ขณะที่เบิกความต่อศาล พยานโจทก์ทั้งสองเหล่านี้ได้พ้นจากตำแหน่งเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองท้องถิ่นไปแล้ว ย่อมไม่มีหน้าที่ดูแลรักษาสาธารณสมบัติของแผ่นดินอีกต่อไปจึงไม่น่าเชื่อว่าจะรู้เห็นเรื่องราวเกี่ยวกับที่ดินพิพาทนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาเพราะพยานบุคคลทั้งสี่ปากของโจทก์ทั้งสองเบิกความถึงความเป็นมาของที่ดินพิพาทตลอดจนความขัดแย้งระหว่างจำเลยกับนายวรบิดาของโจทก์ทั้งสองเกี่ยวกับที่ดินแปลงนี้ที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่พยานยังดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองท้องถิ่นอยู่หาใช่เป็นการเบิกความถึงข้อเท็จจริงอันอยู่ในความรับผิดชอบของเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองท้องถิ่นในปัจจุบันซึ่งพยานพ้นหน้าที่ไปแล้วไม่ ดังนั้น การพิจารณาว่าคำเบิกความของพยานเหล่านี้มีน้ำหนักและเหตุผลอันควรเชื่อถือหรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่กับเหตุผลที่ว่าพยานมีโอกาสรู้เห็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับที่ดินพิพาทหรือไม่ และมีเหตุอันควรระแวงสงสัยว่าถ้อยคำของพยานคลาดเคลื่อนจากความจริงหรือไม่ มิได้อาศัยเหตุผลที่ว่าพยานเบิกความต่อศาลในขณะที่ยังมีหน้าที่รับผิดชอบหรือไม่ ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยมา ในข้อนี้จำเลยเองก็เบิกความรับว่าในปี 2516 กำนันตำบลห้วยยางในครั้งนั้นเคยไปไกล่เกลี่ยเพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างจำเลยกับบิดาของโจทก์ทั้งสอง จำเลยเพียงแต่เบิกความบ่ายเบี่ยงว่าเป็นกรณีพิพาทกันเกี่ยวกับการทำฝายกั้นน้ำจากร่องวังอ่าง ไม่เกี่ยวกับที่ดินพิพาท จำเลยไม่ได้ว่ากำนันที่ไประงับข้อพิพาทระหว่างจำเลยกับบิดาของโจทก์ทั้งสองจะใช่นายอุดมพยานโจทก์ทั้งสองหรือไม่ และปฏิเสธว่าไม่เคยยอมรับว่าที่ดินพิพาทเป็นของบิดาของโจทก์ทั้งสอง รวมทั้งไม่เคยมีการปักหลักเขตทางทิศใต้ของที่ดินพิพาทเพื่อแสดงว่าเป็นแนวเขตที่ดินของบิดาของโจทก์ทั้งสอง คำเบิกความของจำเลยที่รับว่าในปี 2516 กำนันตำบลห้วย ยางได้ไปไกล่เกลี่ยเพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างจำเลยกับนายวรบิดาของโจทก์ทั้งสองเจือสมกับทางนำสืบของโจทก์ทั้งสองเป็นเหตุผลสนับสนุนคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองให้มีน้ำหนักน่ารับฟังยิ่งขึ้น ที่จำเลยเบิกความว่าในครั้งนั้นจำเลยมีข้อขัดแย้งกับบิดาของโจทก์ทั้งสองในเรื่องการทำฝายกั้นน้ำไม่เกี่ยวกับที่ดินพิพาทและจำไม่ได้ว่ากำนันในขณะนั้นเป็นใครเป็นคำเบิกความที่เลื่อนลอยไม่มีพยานปากใดมาเบิกความสนับสนุนจึงมีน้ำหนักน้อยไม่น่ารับฟัง ส่วนที่จำเลยนำสืบว่าที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดิน ส.ค.1 ของจำเลยนั้น คงมีแต่ตัวจำเลยกับนายทองดีและนายคงคาเป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่า ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ทั้งสองระบุว่าแนวเขตที่ดินด้านทิศใต้ของโจทก์ทั้งสองจดร่องวังอ่างส่วนตาม ส.ค.1 ของจำเลยระบุว่าแนวเขตด้านทิศเหนือของที่ดินจำเลยจดกับร่องวังอ่าง เช่นเดียวกัน แสดงว่าที่ดินพิพาทซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของร่องวังอ่างอยู่ในเขต ส.ค.1 ของจำเลยอันเป็นแนวการเบิกความตามรายละเอียดเกี่ยวกับแนวเขตที่ดินที่ปรากฏอยู่ตามเอกสาร โดยมิได้มีการตรวจสอบให้ได้ความแน่ชัดว่าแนวเขตที่ดินตาม ส.ค.1 ของจำเลยครอบคลุมถึงที่ดินพิพาทหรือไม่ อนึ่งแม้พยานจำเลยเหล่านี้จะเบิกความถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทว่า โจทก์ทั้งสองไม่เคยเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทก็ตาม ก็เห็นได้ว่านายทองดีซึ่งเป็นบุตรเขยของจำเลยย่อมเบิกความเข้ากับจำเลยตามวิสัยญาติส่วนนายคงคาพยานจำเลยเพิ่งได้รับเลือกเป็นกำนันตำบลห้วยยาง ก่อนเกิดกรณีพิพาทเป็นคดีนี้เพียง 1 ปี อีกทั้งมีภูมิลำเนาอยู่คนละหมู่บ้านกับที่ดินพิพาทโอกาสที่จะรู้เห็นถึงเรื่องราวเกี่ยวกับที่ดินพิพาทย่อมมีน้อยกว่าบุคคลผู้อยู่ในละแวกใกล้เคียงกับที่ดินพิพาท พยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักน้อยกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสอง ข้อเท็จจริงน่าเชื่อตามพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสองว่า โจทก์ทั้งสองเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาท แต่เนื่องจากที่ดินพิพาทที่โจทก์ทั้งสองครอบครองอยู่มีบางส่วนเป็นร่องวังอ่างซึ่งเป็นร่องน้ำอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(2) ดังนั้น โจทก์ทั้งสองจึงมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนที่มิใช่ร่องวังอ่าง สาธารณประโยชน์ส่วนที่เป็นร่องวังอ่างสาธารณประโยชน์นั้น เมื่อโจทก์ทั้งสองครอบครองที่ดินพิพาทส่วนนี้อยู่ โจทก์ทั้งสองจึงมีสิทธิในที่ดินพิพาทส่วนนี้ดีกว่าจำเลยที่โจทก์ทั้งสองขอให้ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาททั้งหมดนั้น จึงห้ามได้เฉพาะส่วนที่โจทก์ทั้งสองมีสิทธิครอบครองแต่ที่ดินพิพาทส่วนที่เป็นร่องวังอ่าง ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน จึงไม่อาจห้ามจำเลยมิให้เกี่ยวข้องเสียทั้งหมดได้เพราะเป็นการขัดวัตถุประสงค์ของการใช้สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทนั้น จะห้ามได้เฉพาะกรณีที่เข้าไปเกี่ยวข้องโดยที่มิใช่เป็นไปเพื่อการใช้ที่ดินตามวัตถุที่ประสงค์ของสาธารณสมบัติของแผ่นดินเท่านั้น คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ทั้งสองฟังขึ้น”
พิพากษากลับว่า โจทก์ทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยยกเว้นส่วนที่เป็นร่องวังอ่าง สาธารณประโยชน์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทเว้นแต่ที่เป็นการใช้ประโยชน์ในที่ดินตามวัตถุประสงค์ของสาธารณสมบัติของแผ่นดินในที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนที่เป็นร่องวังอ่าง สาธารณประโยชน์

Share