คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3805/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในการจัดทำฎีกาเบิกเงิน จ่าสิบตำรวจ พ. มีหน้าที่รวบรวมใบสำคัญของผู้เบิกและใบแจ้งหนี้ของเจ้าหนี้ให้นายดาบตำรวจ ส.จำเลยที่ 2 และพันตำรวจตรี ว. สมุห์บัญชีกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดตรวจพิจารณาเพื่ออนุมัติจัดทำฎีกา เมื่อทำฎีกาและ หน้างบใบสำคัญขึ้นมาแล้วต้องเสนอให้พันตำรวจตรี ว. ตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง และต้องส่งหลักฐานการเบิกไปยังคลังจังหวัดพร้อมกับ การวางฎีกา เงินตามฎีกาทุกฉบับที่จ่าสิบตำรวจพ. ยักยอกไปโดย ทุจริตเมื่อรับจากคลังจังหวัดแล้วได้มีการนำมาลงบัญชีรับจ่ายของกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดครบถ้วนทุกฎีกา พันตำรวจตรี ว.เป็นผู้เก็บรักษาเงินทั้งหมดไว้เพื่อรอจ่ายแก่ผู้ขอเบิกและเจ้าหนี้แต่พันตำรวจตรีว. ไม่ทำการจ่ายเงินนั้นด้วยตนเองกลับมอบหมายให้จ่าสิบตำรวจ พ. ซึ่งไม่มีหน้าที่ในการจ่ายเงินดังกล่าวตามคำสั่งของกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนำเงินไปจ่ายแก่ผู้ขอเบิก และเจ้าหนี้แทน สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการทุจริตเกี่ยวกับการ เงินรายนี้เป็นเพราะพันตำรวจตรี ว. ผู้บังคับบัญชาโดยตรงของจ่าสิบตำรวจพ.มอบเงินให้จ่าสิบตำรวจพ. นำไปจ่ายโดยไม่มีหน้าที่และไม่กำกับดูแลใกล้ชิด จึงเป็นช่องทางให้จ่าสิบตำรวจ พ. เบียดบังเอาเงินไปเป็นประโยชน์ของตนได้โดยง่าย ทั้งตามคำสั่งกองกำกับการดังกล่าวก็เป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 2 ที่จะต้องเรียกและรวบรวมหลักฐานใบสำคัญประกอบฎีกาที่เบิกเงินแล้วส่งไปยังคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินภายใต้การตรวจตราสอดส่องควบคุมของพันตำรวจตรี ว.โดยตรงไม่ปรากฏว่าขณะที่พันตำรวจโทส.จำเลยที่ 1 ลงนามในฎีกาเบิกเงินมีใบสำคัญครบถ้วนหรือไม่ และไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้มีส่วนรู้เห็นหรือปล่อยปละละเลยให้จ่าสิบตำรวจ พ. เอาเงินไปเป็นประโยชน์ของตน การที่จำเลยที่ 1ลงนามในฎีกาเบิกเงินดังกล่าวจึงยังถือไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1จงใจหรือประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่อันเป็นผลโดยตรงเป็นเหตุให้กรมตำรวจโจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งรองผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดชุมพร ได้รับมอบหมายจากผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดชุมพรให้มีหน้าที่รับผิดชอบงานในแผนกสมุห์บัญชี แผนกพลาธิการ และแผนกสหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจของกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดชุมพร จำเลยที่ 2 รับราชการประจำกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดชุมพร ได้รับมอบหมายจากผู้กำกับการตำรวจภูธร จังหวัดชุมพร ให้มีหน้าที่รับผิดชอบในการเบิกเงินค่าใช้สอย ค่าวัสดุ ค่าสาธารณูปโภคค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้างจากคลังจังหวัด มีหน้าที่ตรวจสอบใบสำคัญอันเป็นหลักฐานประกอบฎีกาเบิกจ่ายให้ถูกต้องครบถ้วนก่อนจัดทำฎีกาเบิกเงินเสนอผู้มีอำนาจเบิกเงินมีหน้าที่เรียกหลักฐานใบสำคัญประกอบฎีกาที่เบิกเงินแล้วรวบรวมส่งกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน เมื่อระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 20 มิถุนายน 2523 จ่าสิบตำรวจพร้อม สอนทอง เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินประจำกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดชุมพรได้บังอาจจัดทำฎีกาเบิกเงินจากคลังจังหวัดชุมพร โดยแสดงยอดเงินรวมในฎีกาสูงเกินกว่าหลักฐานแล้วจ่าสิบตำรวจพร้อมได้นำเงินส่วนที่เบิกเกินไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยเจตนาทุจริตและจ่าสิบตำรวจพร้อมซึ่งมีหน้าที่จ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลค่าสาธารณูปโภคและค่าเล่าเรียนบุตร ได้เบิกเงินจากสมุห์บัญชีกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดชุมพร เพื่อนำไปจ่ายให้แก่ผู้ขอเบิกและเจ้าหนี้ที่อื่นตามใบแจ้งหนี้ แต่จ่าสิบตำรวจพร้อมกลับไม่นำเงินไปจ่ายให้แก่ผู้ขอเบิกและเจ้าหนี้ที่อื่น ๆ เสียทั้งหมด โดยได้เบียดบังยักยอกเงินบางส่วนไปเป็นประโยชน์ของตนโดยทุจริต ซึ่งต่อมาเจ้าพนักงานตรวจพบการกระทำผิดและได้ดำเนินคดีอาญาแก่จ่าสิบตำรวจพร้อม แต่จ่าสิบตำรวจพร้อมหลบหนี การกระทำของจ่าสิบตำรวจพร้อมเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ซึ่งจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้รับผิดชอบงานในแผนกสมุห์บัญชี และจำเลยที่ 2 ในฐานะที่มีหน้าที่ตรวจสอบใบสำคัญอันเป็นหลักฐานประกอบฎีกาเบิกเงิน และมีหน้าที่เรียกหลักฐานใบสำคัญประกอบฎีกาที่เบิกเงินแล้วรวบรวมส่งกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อไม่ดูแลตรวจสอบหลักฐานการเบิกจ่ายเงินให้ถูกต้องเป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย จำเลยทั้งสองต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายต่อโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน15,784 บาท จำเลยที่ 2 ชำระจำนวน 2,635 บาท และจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระจำนวน 45,170.96 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ได้ใช้ความระมัดระวังตามหน้าที่ตรวจดูหลักฐานใบสำคัญการเบิกเงินประกอบฎีกาเบิกเงินให้ถูกต้องครบถ้วนตรงกันทุกครั้ง และคลังจังหวัดก็ต้องตรวจสอบหลักฐานให้ถูกต้องตามระเบียบแล้ว จึงจะอนุญาตให้จ่ายเงินได้ ผู้ที่จงใจทำละเมิดต่อโจทก์คือจ่าสิบตำรวจพร้อม สอนทอง โจทก์ไม่ฟ้องผู้จงใจทำละเมิดกลับมาฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นการใช้สิทธิทางศาลโดยไม่สุจริตนอกจากนี้พันตำรวจเอกชยันต์ ชุมวิสูตร ก็อยู่ปฏิบัติราชการตามปกติมีหน้าที่ควบคุมดูแลและต้องรับผิดชอบตามตำแหน่งหน้าที่โดยตรงแม้จะได้มอบหมายให้จำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่แทน ก็จะปฏิเสธความรับผิดไม่ได้ โจทก์ไม่เสียหายเพราะมีบุคคลอื่นยอมรับสภาพหนี้ชดใช้ความเสียหายแก่โจทก์แล้ว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน47,805.96 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1
โจทก์อุทธรณ์
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น ที่อนุญาตให้โจทก์ขยายเวลายื่นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้น และพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 15,784 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี คิดตั้งแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน2527 และให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันชำระเงิน 45,170.96 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราเดียวกันคิดตั้งแต่วันที่เดียวกันจนถึงวันชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีสำหรับจำเลยที่ 2 คงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ในชั้นนี้คงมีปัญหาขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะที่เกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยที่ 1 ว่าจำเลยที่ 1 จะต้องร่วมรับผิดชำระเงินตามฟ้องให้แก่โจทก์หรือไม่ โจทก์มีร้อยตำรวจโทสุนทร ขอเหล็ก ซึ่งเป็นกรรมการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดทางแพ่งในการทุจริตเกี่ยวกับการเงินรายนี้ เป็นพยานเบิกความประกอบรายงานการสอบสวนว่า ฎีกาเบิกเงินรายนี้บางฉบับไม่มีใบสำคัญ บางฉบับมีใบสำคัญไม่ครบ แต่ไม่ปรากฏว่าขณะที่จำเลยที่ 1 ลงนามในฎีกาเบิกเงินตามเอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.8 มีใบสำคัญดังกล่าวครบถ้วนหรือไม่ ข้อเท็จจริงกลับได้ความจากคำเบิกความของร้อยตำรวจโทสุนทรพันตำรวจโทสมพล จันทรวัฒน์ สารวัตรการเงินและบัญชี กองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดชุมพรคนปัจจุบัน ตลอดจนนายดาบตำรวจพิมลภูวนาศักดิ์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายสมุห์บัญชีกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดชุมพรในขณะเกิดเหตุใจความตรงกันว่า ในการจัดทำฎีกาเบิกเงินนั้นจ่าสิบตำรวจพร้อม สอนทอง จะต้องรวบรวมใบสำคัญของผู้ขอเบิกและใบแจ้งหนี้ของเจ้าหนี้ให้จำเลยที่ 2 และพันตำรวจตรีวิรัตน์รัตตะมาน สมุห์บัญชี กองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดชุมพรขณะนั้นตรวจพิจารณาเพื่ออนุมัติจัดทำฎีกา เมื่อทำฎีกาและหน้างบใบสำคัญขึ้นมาแล้วยังต้องเสนอให้พันตำรวจตรีวิรัตน์ตรวจสอบอีกครั้งหนึ่งยิ่งกว่านั้นยังต้องส่งหลักฐานการเบิกไปยังคลังจังหวัดชุมพรพร้อมกับการวางฎีกาอีกด้วย จึงเป็นการยากที่จ่าสิบตำรวจพร้อมจะทำฎีกาให้มียอดเงินสูงกว่าหลักฐาน ข้อนำสืบของโจทก์ที่ว่าจ่าสิบตำรวจพร้อม จัดทำฎีการายนี้เบิกเงินสูงเกินกว่าหลักฐานจึงรับฟังไม่ได้ได้ความจากคำเบิกความของนายดาบตำรวจพิมลต่อไปว่า เงินตามฎีกาทุกฉบับรายนี้เมื่อรับจากคลังจังหวัดชุมพรแล้วได้นำมาลงบัญชีรับจ่ายของกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดชุมพรครบถ้วนทุกฎีกาพันตำรวจตรีวิรัตน์เป็นผู้เก็บรักษาเงินทั้งหมดไว้เพื่อรอจ่ายแก่ผู้ขอเบิกและเจ้าหนี้ แต่พันตำรวจตรีวิรัตน์ไม่ทำการจ่ายเงินนั้นด้วยตนเอง กลับมอบหมายให้จ่าสิบตำรวจพร้อมนำเงินไปจ่ายให้แก่ผู้ขอเบิกและเจ้าหนี้แทน ซึ่งตามคำสั่งของกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดชุมพรเรื่องการแบ่งงานในหน้าที่สมุห์บัญชี จ่าสิบตำรวจพร้อม หาได้มีหน้าที่ในการจ่ายเงินหมวดรายจ่ายงบกลางและหมวดค่าสาธารณูปโภคแต่อย่างใดไม่ สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการทุจริตเกี่ยวกับการเงินรายนี้ขึ้นได้จึงเห็นได้โดยแจ้งชัดว่า เป็นเพราะพันตำรวจตรีวิรัตน์ สมุห์บัญชีผู้บังคับบัญชาโดยตรงของจ่าสิบตำรวจพร้อม มอบเงินให้จ่าสิบตำรวจพร้อมนำไปจ่ายให้แก่ผู้ขอเบิกและเจ้าหนี้โดยจ่าสิบตำรวจพร้อมไม่มีหน้าที่และไม่กำกับดูแลโดยใกล้ชิดจึงเป็นช่องทางให้จ่าสิบตำรวจพร้อมเบียดบังเอาเงินไปเป็นประโยชน์ของตนได้โดยง่ายตามคำสั่งของกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดชุมพรเรื่องการแบ่งงานในหน้าที่สมุห์บัญชีก็เป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 2 ที่จะต้องเรียกและรวบรวมหลักฐานใบสำคัญประกอบฎีกาที่เบิกเงินแล้วส่งไปยังคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ภายใต้การตรวจตราสอดส่องควบคุมของพันตำรวจตรีวิรัตน์โดยตรง ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบฟังไม่ได้ว่า ขณะที่จำเลยที่ 1 ลงนามในฎีกาเบิกเงินตามเอกสารหมายจ.1 ถึง จ.8 มีใบสำคัญครบถ้วนหรือไม่ และฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1ได้มีส่วนรู้เห็นหรือปล่อยปละละเลยให้จ่าสิบตำรวจพร้อมเอาเงินไปเป็นประโยชน์ของตน การที่จำเลยที่ 1 ลงนามในฎีกาเบิกเงินดังกล่าวจึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 จงใจหรือประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่อันเป็นผลโดยตรงเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share