คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1319/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อจำเลยเป็นหนี้โจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิตามกฎหมายที่จะได้รับชำระหนี้จากจำเลยโดยสิ้นเชิง ที่จำเลยขอประนอมหนี้ โดยขอลดหย่อนจำนวนหนี้ที่ต้องชำระแก่โจทก์นั้น ย่อมเป็นสิทธิโดยชอบของโจทก์ที่จะพิจารณา การที่โจทก์ไม่รับพิจารณาหาอาจให้ถือว่าเป็นการบีบคั้น กลั่นแกล้งจำเลย โดยไม่เป็นธรรมและถือเป็นเหตุไม่ควรให้จำเลยล้มละลายไม่ ส่วนที่อ้างว่าจำเลยอาจชำระหนี้ได้ทั้งหมด เพราะจำเลยมีสิทธิในการรับมรดกตามพินัยกรรม ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่าจำนวนหนี้สินสิทธิที่จำเลยอ้างจะเกิดเป็นผลต่อเมื่อเจ้ามรดกถึงแก่ความตายเสียก่อนโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงพินัยกรรม จึงเป็นสิทธิที่มีเงื่อนไขบังคับก่อน ยังไม่เป็นผลที่จะถือว่าเป็นทรัพย์สินของจำเลยได้ จึงไม่อาจถือได้ว่าจำเลยมีทรัพย์สินพอที่จะชำระหนี้ได้แน่นอน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสี่เป็นลูกหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น 2 คดี คือ คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 410/2528 และคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 453/2528 หลังจากที่ศาลมีคำพิพากษาแล้ว โจทก์ยึดทรัพย์จำนองในคดีทั้งสองออกขายทอดตลาดและโจทก์ได้รับชำระหนี้จากนายคำหมั้น อีกบางส่วน แต่จำเลยทั้งสี่ไม่มีทรัพย์สินอื่นอีกจนถึงวันฟ้องจำเลยทั้งสี่เป็นหนี้โจทก์ทั้งสองคดีรวมเป็นเงิน8,139,660.17 บาท ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสี่เด็ดขาด และพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยที่ 1 ให้การว่า ความจริงจำเลยที่ 1 เป็นหนี้ดอกเบี้ยในคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 410/2528 เพียง 76,079.75 บาทส่วนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 453/2528 นายคำหมั้นชำระหนี้ให้บางส่วนดอกเบี้ยจึงลดลงเหลือ 1,724,165.56 บาท เท่านั้น จำเลยที่ 1มีทรัพย์สินที่จะชำระหนี้ให้โจทก์ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ในระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 ศาลชั้นต้นอนุญาต ให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3ออกจากสารบบความ
จำเลยที่ 4 ไม่ยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์จำนวนแน่นอนเกินกว่า 50,000 บาท และไม่มีทรัพย์สินใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้อีก เข้าข้อสันนิษฐานว่าเป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัว ส่วนจำเลยที่ 4 ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ 9/2534 ของศาลชั้นต้นแล้ว จึงมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 1เด็ดขาด และให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 4 ออกจากสารบบความ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ปัญหาที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ได้พยายามประนอมหนี้กับโจทก์หลายครั้งแล้ว แต่โจทก์ปฏิเสธ ถือได้ว่าเป็นการบีบคั้นกลั่นแกล้งจำเลยที่ 1 จึงไม่ควรให้จำเลยที่ 1 ล้มละลาย นั้น เห็นว่าเมื่อจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิตามกฎหมายที่จะได้รับชำระหนี้จากจำเลยที่ 1 โดยสิ้นเชิง ที่จำเลยที่ 1 ขอประนอมหนี้ โดยขอลดหย่อนจำนวนหนี้ที่ต้องชำระแก่โจทก์นั้น ย่อมเป็นสิทธิโดยชอบของโจทก์ที่จะพิจารณา การที่โจทก์ไม่รับพิจารณาหาอาจเป็นเหตุให้ถือว่าเป็นการบีบคั้นกลั่นแกล้งจำเลยที่ 1 โดยไม่เป็นธรรมและถือเป็นเหตุไม่ควรให้จำเลยที่ 1 ล้มละลายดังที่อ้างไม่ ฎีกาจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
สำหรับปัญหาที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 อาจชำระหนี้ได้ทั้งหมด เพราะจำเลยที่ 1 มีสิทธิในการรับมรดกตามพินัยกรรม ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่าจำนวนหนี้นั้น เห็นว่า สิทธิที่จำเลยที่ 1อ้างจะเกิดเป็นผลต่อเมื่อเจ้ามรดกถึงแก่ความตายเสียก่อนโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงพินัยกรรม จึงเป็นสิทธิที่มีเงื่อนไขบังคับก่อนยังไม่เป็นผลที่จะถือว่าเป็นทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ได้ จึงไม่อาจถือได้ว่าจำเลยที่ 1 มีทรัพย์สินพอที่จะชำระหนี้ได้แน่นอนดังที่จำเลยที่ 1 อ้าง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 1 ไว้เด็ดขาดนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้นทุกข้อ”
พิพากษายืน

Share