คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 380/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้เสียหายเป็นหญิงอายุ 16 ปี ถูกคนร้ายหลายคนผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนกระทำชำเรา โดยใช้อาวุธปืนขู่เข็ญและใช้กำลังประทุษร้ายชกต่อยให้ผู้เสียหายยินยอมให้กระทำชำเรา ในสภาพเช่นนั้นผู้เสียหายย่อมจำคนร้ายไม่ได้ทั้งหมด แต่เฉพาะจำเลยซึ่งเป็นคนร้ายที่คุมตัวผู้เสียหายลงไปปัสสาวะข้างล่างเมื่อผู้เสียหายวิ่งหนีได้ไล่จับเป็นคนร้ายที่จับผู้เสียหายกดน้ำ ต่อย ท้อง และเอาผู้เสียหายขึ้นไปข่มขืนกระทำชำเรา โดยในระหว่างข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย จำเลยยังได้ลุกจากตัวผู้เสียหายไปถีบ ด. ตก จากบันไดกระต๊อบด้วย การที่ผู้เสียหายจำจำเลยได้จึงมิใช่เรื่องผิดปกติวิสัย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2531 ระหว่างเวลากลางวันถึงเวลากลางคืนหลังเที่ยงติดต่อกัน จำเลยกับพวก ซึ่งเป็นพลเรือนอีกหลายคนที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องได้ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเรานางสาวเกศณีโพธิ์ไทร ผู้เสียหาย ซึ่งมิใช่ภริยาของจำเลยโดยใช้ปืนสั้น 1 กระบอกเป็นอาวุธขู่เข็ญและใช้กำลังประทุษร้ายชกต่อยให้ผู้เสียหายยินยอมให้จำเลยกับพวกกระทำชำเรา จนผู้เสียหายเกิดความกลัว และอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ แล้วจำเลยกับพวกได้ผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่คนละครั้ง อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง เหตุเกิดที่ตำบลบางขันหมาก อำเภอเมืองลพบุรีจังหวัดลพบุรี ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276วรรคสอง พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 5)พ.ศ. 2525 มาตรา 3
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง จำคุก 15 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า เมื่อวันที่ 2มกราคม 2531 ผู้เสียหายและนางสาวดาวรุ่ง โพธิ์ไทร น้องสาวของผู้เสียหายได้เดินทางจากบ้านที่อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรีไปที่ร้านอาหารบุญยฤทธิ์ ซึ่งอยู่ที่ถนนหน้าพระกาฬ ตำบลท่าหินอำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี เพื่อไปหานางสาวบี ตามที่นัดไว้แต่ไม่พบนางสาวบี คงพบนางสุมาลี พันธ์พร้อม ซึ่งแจ้งว่า นางสาวบีได้ฝากให้นางสุมาลีช่วนนำผู้เสียหายและนางสาวดาวรุ่งไปเที่ยวในตัวเมืองนางสุมาลีได้พาผู้เสียหายและนางสาวดาวรุ่งไปดูภาพยนตร์รอบบ่ายที่โรงภาพยนตร์มาลัยรามา ขณะซื้อตั๋วนางสุมาลีได้พูดคุยกับชาย 3 คนซึ่งผู้เสียหายและนางสาวดาวรุ่งไม่รู้จัก ชายทั้งสามได้ขอดูตั๋วที่ผู้เสียหายและนางสาวดาวรุ่งซื้อ โดยนางสุมาลียื่นให้ดู เมื่อเข้าไปดูภาพยนตร์ชายคนดังกล่าวเข้าไปนั่งข้าง ๆ นางสุมาลีและมีชายอีกจำนวนหนึ่งนั่งอยู่แถวเดียวกัน นางสุมาลีและชายทั้งสามพูดทักทายกัน ภาพยนตร์เลิกเวลาประมาณ 15 นาฬิกา ชายทั้งสามได้คุยกับนางสุมาลีและชวนไปรับประทานอาหาร นางสุมาลีได้ชวนผู้เสียหายและนางสาวดาวรุ่งไปด้วย ผู้เสียหายและนางสาวดาวรุ่งจึงไปกับชายกลุ่มดังกล่าวซึ่งมีประมาณ 18 คน โดยขึ้นรถโดยสารประจำทางไปที่หมู่บ้านบางขันหมาก ตำบลบางขันหมาก อำเภอเมืองลพบุรี เมื่อถึงปากทางเข้าวัดทองแท่งนิสยารามก็ลงจากรถพาผู้เสียหาย นางสาวดาวรุ่งและนางสุมาลีไปที่ชายป่ากล้วย ได้เอาเสื่อมาปูและนำสุรามาดื่มกัน ผู้เสียหายและนางสาวดาวรุ่งดื่มน้ำอัดลม ส่วนนางสุมาลีดื่มสุรากับชายกลุ่มนั้นได้นั่งคุยกันจนถึงเวลาประมาณ 18 นาฬิกา ผู้เสียหายชวนนางสาวดาวรุ่งกลับบ้าน ตอนนนั้นนางสุมาลีเมาสุรามากไม่ยอมกลับ และชายในกลุ่มนั้นได้พูดให้รออีกครึ่งชั่วโมงแล้วจะเอารถจักรยานยนต์ไปส่ง ต่อมาประมาณครึ่งชั่วโมง ชายคนหนึ่งในกลุ่มนั้นเมาสุรา เป็นคนรูปร่างขาวท้วม เตี้ย และมีหนวด ได้กระชากแขนผู้เสียหายฉุดไปที่กระต๊อบหลังหนึ่ง ห่างจากจุดที่ถูกฉุดประมาณ 100 เมตร ผู้เสียหายได้ร้องตะโกนให้คนช่วย ก็ถูกชายคนหนึ่งรูปร่างผอมดำ ต่อยที่บริเวณหน้าท้องจนผู้เสียหายจุก และมีชาย 7-8 คนได้ช่วยกันลากตัวผู้เสียหายไปด้วยระหว่างนั้นนางสาวดาวรุ่งถูกชาย 3-4 คนฉุดไปเช่นกัน ส่วนนางสุมาลีก็มีชายวัยรุ่นคนหนึ่งฉุดไปที่กอไผ่ห่างจากที่นั่งอยู่ประมาณ 20เมตร ชายวัยรุ่นคนนั้นได้กอดปล้ำนางสุมาลี แต่นางสุมาลีหนีไปได้หลังจากผู้เสียหายถูกฉุดไปที่กระต๊อบแล้ว ชายร่างท้วมเตี้ยได้ใช้ปืนสั้นจี้ที่ศีรษะผู้เสียหาย ชายร่างผอมสูงเท้าเอวมองดูและมีชายอีก2 คน ช่วยกันถอดเสื้อผ้าผู้เสียหาย ผู้เสียหายดิ้นรนขัดขืนชายที่ถือปืนได้ขู่ว่าถ้าขัดขืนจะยิงให้ตาย ผู้เสียหายกลัวจึงยอมให้ชายทั้งสองถอดเสื้อผ้าออก แล้วผู้เสียหายถูกลากตัวไปนอนบนเตียงชายคนหนึ่งในสองคนนั้นได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่ หลังจากนั้นก็มีกาารผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่ทุกคน โดยมีชายที่รออยู่ข้างล่างขึ้นมาร่วมด้วย รวมทั้งชายร่างท้วมเตี้ยที่ถือปืนสั้น หลังจากมีการข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายดังกล่าวแล้ว ขณะที่ผู้เสียหายสวมใส่เสื้อผ้าจำเลยได้วิ่งขึ้นมาบนกระต๊อบพร้อมกับพูดว่า อะไรยังไม่เสร็จทุกคนพี่ยังไม่ได้สนุกเลย พูดแล้วจำเลยได้ผลักผู้เสียหายล้มลง และใช้กำลังถอดกางเกงผู้เสียหายออก ผู้เสียหายได้บอกแก่จำเลยว่าขอลงไปปัสสาวะข้างล่างก่อน จำเลยได้พาผู้เสียหายลงจากกระต๊อบไปที่ป่ากล้วยริมสระน้ำ ผู้เสียหายได้ปัสสาวะที่บริเวณดังกล่าว โดยจำเลยยืนดูอยู่ใกล้ ๆ แล้วผู้เสียหายได้ลุกขึ้นวิ่งหนี แต่จำเลยวิ่งตามทันจับศีรษะผู้เสียหายกดน้ำ 3-4 ครั้ง และใช้กำปั้นต่อยที่บริเวณหน้าท้องอีก 1 ครั้ง จากนั้นจำเลยได้กระชากแขนผู้เสียหายลากไปที่กระต๊อบดังกล่าว ลากผู้เสียหายไปนอนบนเตียง และถอดกางเกงออกแล้วข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย ระหว่างนั้นนางสาวดาวรุ่งจะขึ้นไปหาผู้เสียหายบนกระต๊อบจำเลยได้ถีบนางสาวดาวรุ่งตกจากบันไดนางสาวดาวรุ่งเห็นว่าไม่สามารถช่วยเหลือผู้เสียหายยได้ จึงวิ่งกลับไปบริเวณที่รับประทานอาหาร เห็นนางสุมาลียืนคุยกับชายอีกคนหนึ่ง เมื่อเห็นนางสาวดาวรุ่ง ชายคนนั้นหลบไป นางสาวดาวรุ่งได้บอกนางสุมาลีว่าผู้เสียหายถูกรุมข่มขืน และชวนนางสุมาลีไปที่ร้านอาหารบุญยฤทธิ์โดยไปถึงเมื่อเวลา 20 นาฬิกา ส่วนทางฝ่ายผู้เสียหายนั้น หลังจากที่จำเลยถีบนางสาวดาวรุ่งตกลงจากบันไดกระต๊อบแล้วจำเลยใส่กางเกงหยิบปืน ลงจากกระต๊อบไป หลังจากนั้นประมาณ 10 นาทีมีเสียงรถจักรยานยนต์แล่นมาที่กระต๊อบและมีชาย 2 คน เข้ามาพยุงผู้เสียหายขึ้นรถจักรยานยนต์ไปส่งที่ร้านอาหารบุญยฤทธิ์ นั่งรออยู่ที่ร้านประมาณ 30 นาที จ่าอากาศตรีมาโนช นามนุช น้าของผู้เสียหายและนางสาวดาวรุ่งซึ่งได้ไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจกลับมาพบผู้เสียหายที่ร้านอาหารดังกล่าว ผู้เสียหายได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้จ่าอากาศตรีมาโนชฟัง หลังจากนั้นผู้เสียหายได้ไปอยู่ที่บ้านจ่าอากาศตรีมาโนช เมื่อกลางเดือนมีนาคม 2531 ผู้เสียหายเห็นจำเลยยืนซื้อของที่ร้านซึ่งอยู่ในกองบิน 2 จังหวัดลพบุรี จึงไปบอกจ่าอากาศตรีมาโนช แต่เมื่อกลับมาดู ก็ไม่พบ ต่อมาอีก 2-3 วันผู้เสียหายพบจำเลยยืนอยู่ที่หลังโรงพยาบาลกองบิน 2 จึงได้ไปบอกจ่าอากาศตรีมาโนช จ่าอาการศตรีมาโนชได้มาพบกับจำเลย และพูดว่าจำเลยข่มขืนผู้เสียหาย จำเลยไม่ยอมรับ จ่าอากาศตรีมาโนชจึงตบหน้าจำเลย 1 ครั้ง และได้โทรศัพท์เรียกสารวัตรทหารมารับตัวจำเลยไปสอบสวน วันที่ 8 เมษายน 2531 ผู้เสียหายได้ไปแจ้งความต่อร้อยตำรวจเอกสุวรรณ ห้วยธาร พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรท่าหินหลังจากรับแจ้งแล้ว ร้อยตำรวจเอกสุวรรณได้ไปจับกุมจำเลยมาดำเนินคดีในข้อหาร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราหญิงซึ่งมิใช่ภริยาของตนอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง จำเลยให้การปฏิเสธ ตามบันทึกการจับเอกสารหมาย จ.3 ร้อยตำรวจเอกสุวรรณได้ไปดูที่เกิดเหตุ โดยผู้เสียหายเป็นผู้นำชี้ ตามบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุ และแผนที่สังเขปเอกสารหมาย จ.4 และ จ.5 ได้ส่งตัวผู้เสียหายไปให้พันตรีนายแพทย์ชาตินักรบ แสงสว่าง แพทย์ประจำโรงพยาบาลอานันทมหิดลตรวจร่างกาย ปรากฏตามรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์เอกสารหมาย จ.1 ได้สอบสวนนางสุมาลีและผู้เสียหายไว้ตามคำให้การเอกสารหมาย จ.2 และ จ.7 ชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ
จำเลยนำสืบว่า จำเลยเคยได้รับบาดเจ็บเนื่องจากตกต้นมะพร้าวสูงประมาณ 10 เมตร เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2530 ต้องรักษาโดยการผ่าตัดและดามด้วยเหล็กที่เอว และผูกด้วยเหล็กที่กระดูกคอต้องเข้าเฝือนนานประมาณ 3 เดือน จึงถอดเฝือกออกได้ และหลังจากถอดเฝือกออกแล้ว จำเลยยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บ คงทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นเดินหนังสือ จำเลยไม่สามารถก้มตัวได้เต็มที่ เพราะติดเหล็กที่ดามไว้ที่เอวด้านหลัง และเอวไม่สามารถงอได้ ในวันเกิดเหตุจำเลยออกจากกองบิน 2 กลับมาที่บ้านเวลาประมาณ 16 นาฬิกา และจำเลยได้ออกจากบ้านไปดูหนังสือที่แผงหนังสือข้างศาลพระกาฬ จำเลยกลับมาที่บ้านอีกเวลาประมาณ 17 นาฬิกา เมื่อไปถึงบ้านแล้วมารดาของจำเลยให้จำเลยไปดูบ้านพี่สาวของจำเลยซึ่งพัง บ้านพี่สาวจำเลยอยู่ห่างจากบ้านจำเลยประมาณ 1 เมตรครึ่ง เมื่อไปถึงเห็นผู้ชายกลุ่มหนึ่งประมาณ 5-6 คนนั่งดื่มสุราอยู่กับผู้หญิง 3 คน ที่พื้นดินที่บริเวณหลังบ้านนายบ๊วย นพน้อมธรรม ผู้ใหญ่บ้าน ห่างจากบ้านพี่สาวจำเลยประมาณ25 เมตร เมื่อจำเลยเดินผ่านกลุ่มคนดังกล่าว มีชายคนหนึ่งเรียกให้จำเลยดื่มสุรา จำเลยบอกไปว่านั่งนานไม่ได้ ผู้หญิงคนหนึ่งก็บอกจำเลยขอให้ให้เกียรติ และฉุดจำเลยไปนั่งด้วย จำเลยนั่งอยู่ 2 นาที โดยไม่ได้ดื่มสุรา จำเลยลุกออกมาแล้วได้กลับไปบ้าน และไปดูสวนหลังบ้านหลังจากดูสวนแล้วได้มานั่งเล่นที่ม้าหินอ่อนข้างกระต๊อบร้างที่หลังบ้านจำเลยซึ่งอยู่ห่างจากวงสุราประมาณ 100 เมตร ระหว่างนั่งเล่นอยู่นั้น ชายกลุ่มนั้นและผู้หญิง 3 คน ได้เดินมาที่กระต๊อบ โดยผู้หญิงนั้นมีอาการเมาสองคน คนหนึ่งไม่เมาได้มานั่งที่บริเวณที่จำเลยนั่งอยู่ระหว่างนั้นพวกผู้หญิงได้ไล่จับผู้เสียหาย จำเลยไม่ได้พูดคุยกับกลุ่มคนพวกนั้นและลุกขึ้นกลับบ้านไปในเวลาประมาณ 17.50นาฬิกา จำเลยกินข้าวแล้วอาบน้ำหลังจากนั้นไปคุยกับนางสาวตุ้ม ซึ่งมีบ้านอยู่ข้างเคียงจนเวลา 20 นาฬิกา จำเลยจึงไปคุยกับนายประกาศิตแจ้งสว่าง น้องชายของจำเลยที่ใต้ต้นมะขามเทศหน้าบ้านจำเลย คุยอยู่จนเวลาประมาณ 20 นาฬิกา มีเจ้าพนักงานตำรวจหลายคนพร้อมด้วยผู้หญิงผมยาวซึ่งเป็นคนหนึ่งในสามคนที่เห็นนั่งดื่มสุรากับชาย 5-6 คน มาถามจำเลยถึงบ้านที่พาผู้หญิงมาและข่มขืนกระชำเรากันอยู่ที่ไหน จำเลยยังไม่ได้ตอบ ผู้หญิงที่มากับเจ้าพนักงานตำรวจก็ชี้เส้นทางและพากันเดินผ่านบ้านจำเลยไป ถึงบ้านนางสาวทับทิม ใจดี ซึ่งตอนนั้นมีชาวบ้านกำลังจัดเตรียมของทำบุญในวันรุ่งขึ้น เจ้าพนักงานตำรวจได้สอบถามพวกชาวบ้านและสอบถามจำเลยว่ารู้จักกลุ่มคนที่มากับผู้หญิงทั้งสามหรือไม่ ซึ่งจำเลยบอกไปว่าไม่ทราบ วันรุ่งขึ้นตอนเช้าจำเลยได้ยินเสียงคนพูดกันถึงเรื่องการข่มขืนกระทำชำเรา ต่อมาจำเลยได้ไปอยู่ที่กองบิน 2 ได้ 7-10 วัน จำเลยพบผู้เสียหายที่ตลาดลานโพธิ์ ในกองบิน 2 ผู้เสียหายเห็นจำเลยก็ลุกหนีไป วันที่ 4 เมษายน 2531พลทหารมาโนช งามนุช (หมายถึงจ่าอากาศตรีมาโนช งามนุช) และผู้เสียหายได้เรียกจำเลยจากโรงอาหาร พลทหารมาโนชได้ถามจำเลยว่า รู้จักคนที่ข่มขืนน้องสาวหรือไม่ เมื่อจำเลยบอกว่าจำไม่ได้ พลทหารมาโนชให้จำเลยจดชื่อมาให้ดูภายใน 15 วัน ต่อมาประมาณ 15 วัน พลทหารมาโนชได้มาหาจำเลยที่โรงพยาบาลในกองบิน 2 เพื่อเอารายชื่อ จำเลยไม่มีให้จำเลยถูกพบทหารมาโนชตบหน้าและผลักไปชนต้นไม้ วันรุ่งขึ้นตอนเช้าจำเลยไปแจ้งต่อสารวัตรทหารว่าถูกพลทหารมาโนชตบหน้าและผลัก ในตอนบ่ายสารวัตรทหารได้รับตัวจำเลยไปโดยแจ้งให้ทราบว่าพลทหารมาโนชกล่าวหาว่าจำเลยข่มขืนกระทำชำเราน้องสาวของพลทหารมาโนช ต่อมาวันที่8 เมษายน 2531 ผู้เสียหายนำเจ้าพนักงานตำรวจมาจับกุมจำเลยในข้อหาร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราหญิงซึ่งมิใช่ภริยาของตน อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง จำเลยให้การปฏิเสธ
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุ มีคนร้ายหลายคนร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายซึ่งมิใช่ภริยาของตน อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง โดยใช้ปืนสั้น 1 กระบอกเป็นอาวุธขู่เข็ญและใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยเป็นคนร้ายรายนี้ด้วยหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายและนางสาวดาวรุ่งน้องสาวของผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความว่าเห็นและจำจำเลยได้ จำเลยเป็นคนร้ายที่เข้ามาร่วมวงดื่มสุราด้วยก่อนเกิดเหตุ เเป็นคนร้ายที่คุมตัวผู้เสียหายลงไปปัสสาวะข้างล่าง จับผู้เสียหายกดน้ำ ต่อยท้อง และข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเป็นคนสุดท้าย รวมทั้งเป็นคนร้ายที่ถีบนางสาวดาวรุ่งตกจากบันไดกระต๊อบเมื่อนางสาวดาวรุ่งจะขึ้นไปหาผู้เสียหาย เห็นว่าแม้ผู้เสียหายและนางสาวดาวรุ่งจะไม่รู้จักจำเลยมาก่อน แต่ก็ได้ความว่าจำเลยเข้ามาร่วมวงดื่มสุราตั้งแต่ตอนก่อนเกิดเหตุ ข้อนี้จำเลยเบิกความรับว่าจำเลยเข้าไปนั่งอยู่ด้วย 2 นาทีเพียงแต่อ้างว่าไม่ได้ดื่มสุราและได้ลุกออกไปเท่านั้น ผู้เสียหายอยู่ใกล้ชิดกับจำเลยเป็นระยะเวลานานและมีการพูดจากัน ผู้เสียหายมีโอกาสเห็นและจำจำเลยได้ไม่ผิดพลาด การได้ตัวจำเลยมาดำเนินคดีก็เนื่องจากผู้เสียหายไปพบจำเลย โดยผู้เสียหายพบจำเลยยืนซื้อของที่ร้านซึ่งอยู่ในกองบิน 2 จึงได้ไปบอกจ่าอาการตรีมาโนชน้าชายแต่เมื่อกลับมาดูก็ไม่พบจำเลยแล้ว ต่อมาอีก 2-3 วัน ผู้เสียหายพบจำเลยยืนอยู่ที่หน้าโรงพยาบาลกองบิน 2 จึงไปบอกจ่าอากาศตรีมาโนชมาพบจำเลย แจ้งสารวัตรทหารและแจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยนอกจากจำเลยแล้ว ผู้เสียหายยังจำคนร้ายอื่นบางคนได้อีกด้วย นอกจากนั้นนางสาวดาวรุ่งเบิกความสนับสนุนผู้เสียหายด้วยว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ถีบตนตกจากบันไดกระต๊อบขณะจะขึ้นไปหาผู้เสียหาย ผู้เสียหายและนางสาวดาวรุ่งพยานโจทก์ไม่รู้จักจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุระแวงว่าจะเบิกความปรักปรำจำเลย พยานโจทก์เบิกความสอดคล้องประกอบกันมั่นคงรับฟังได้ข้อที่จำเลยอ้างว่า ผู้เสียหายถูกข่มขืนกระทำชำเราเวลามืดค่ำ ผู้เสียหายจำเหตุการณ์ไม่ได้และจำใครไม่ได้แน่นอนนั้นเห็นว่า ผู้เสียหายเป็นหญิงอายุ 16 ปี ถูกคนร้ายหลายคนผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนกระทำชำเรา โดยใช้อาวุธปืนขู่เข็ญ และใช้กำลังประทุษร้ายชกต่อยให้ผู้เสียหายยินยอมให้กระทำชำเรา ในสภาพการณ์เช่นนั้นผู้เสียหายย่อมจำคนร้ายไม่ได้หมด แต่เฉพาะจำเลยซึ่งเป็นคนร้ายที่คุมตัวผู้เสียหายลงไปปัสสาวะข้างล่างเมื่อผู้เสียหายวิ่งหนีได้ไล่จับ เป็นคนร้ายที่จับผู้เสียหายกดน้ำ ต่อยท้องและเอาผู้เสียหายขึ้นไปข่มขืนกระทำชำเรา โดยในระหว่างข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจำเลยยังได้ลุกจากตัวผู้เสียหายไปถีบนางสาวดาวรุ่งตกจากบันไดกระต๊อบด้วย การที่ผู้เสียหายจำจำเลยได้จึงมิใช่เรื่องผิดปกติวิสัยที่ร้อยตำรวจเอกสุวรรณพนักงานสอบสวนพยานโจทก์เบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า กระต๊อบไม่มีไฟฟ้านั้น ร้อยตำรวจเอกสุวรรณไปตรวจที่เกิดเหตุภายหลังเกิดเหตุแล้วถึง 3 เดือนเศษ ทั้งผู้เสียหายก็เบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยยืนยันว่า กระต๊อบที่เกิดเหตุมีไฟฟ้าหลอดกลมส่องสว่าง 1 ดวง คืนเกิดเหตุเป็นคืนขึ้น 14 ค่ำเดือนยี่ ปีเถาะ ดวงจันทร์ขึ้นตั้งแต่เวลา 17.12 นาฬิกา ขณะที่จำเลยคุมตัวผู้เสียหายลงไปปัสสาวะแพทย์ผู้ทำการรักษา พยานจำเลยเบิกความตอบคำถามค้านของโจทก์ว่า อาการของจำเลยจะหายเป็นปกติในเวลาประมาณ3 เดือน พยานหลักฐานของจำเลยไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยนั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share