คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3795/2540

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ผู้ค้ำประกันซึ่งรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม มิใช่เป็นลูกหนี้ร่วมในสัญญาของลูกหนี้เพียงแต่ไม่อาจยกข้อต่อสู้ของผู้ค้ำประกันขึ้นต่อสู้เจ้าหนี้เท่านั้น แต่ผู้ค้ำประกันย่อมยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ขึ้นต่อสู้เจ้าหนี้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 694เมื่อสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้ต่อกองมรดกของลูกหนี้ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 วรรคสาม แล้วผู้ค้ำประกันย่อมยกอายุความขึ้นต่อสู้เจ้าหนี้ได้
เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากลูกหนี้อันเนื่องมาจากการเลิกสัญญา แต่เมื่อลูกหนี้ถึงแก่ความตาย เจ้าหนี้จะต้องฟ้องร้องทายาทของลูกหนี้ภายใน 1 ปี นับแต่ได้รู้ถึงความตายของลูกหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 วรรคสาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2533 นายสมนึก เสวีวัลลภ ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ในราคา 349,600 บาท โดยมีจำเลยทั้งสองเป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมหลังทำสัญญานายสมนึกผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อแก่โจทก์ตั้งแต่งวดที่ 3ซึ่งต้องชำระในวันที่ 15 มกราคม 2534 ต่อมาในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2535 จำเลยที่ 2นำรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์โดยแจ้งว่านายสมนึกถึงแก่ความตายแล้ว สัญญาเช่าซื้อเป็นอันเลิกกันโจทก์นำรถยนต์ออกประมูลขายได้เงินเพียง 160,000 บาท ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 228,932 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้เกิน 1 ปี นับแต่รู้ว่าลูกหนี้ถึงแก่ความตายฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2533 นายสมนึกเสวีวัลลภ เช่าซื้อรถยนต์ 1 คัน ยี่ห้อมิตซูบิชิ รุ่นแอล 200 หมายเลขทะเบียน 1 ป – 9853 กรุงเทพมหานคร ราคา 349,600 บาท จากโจทก์ มีจำเลยทั้งสองทำสัญญาค้ำประกันโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ตามหนังสือค้ำประกันเอกสารหมาย จ.5 และ จ.6 นายสมนึกชำระค่าเช่าซื้อแก่โจทก์เพียง 2 งวด เป็นเงิน 14,568 บาท แล้วผิดนัดไม่ชำระต่อมาวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2535 จำเลยที่ 2 นำรถยนต์มาคืนโจทก์แจ้งว่านายสมนึกถึงแก่ความตายแล้ว เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2534 ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกัน โจทก์นำรถยนต์ออกประมูลขายมีผู้เข้าสู้ราคาหลายราย โจทก์ตกลงขายแก่ผู้เสนอราคาสูงสุดในราคา160,000 บาท โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2536 อันเป็นเวลาพ้นกำหนด1 ปี นับแต่เมื่อโจทก์ได้รู้ถึงความตายของนายสมนึก คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า ตามสัญญาค้ำประกันจำเลยทั้งสองยอมรับผิดร่วมกับนายสมนึกอย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยทั้งสองจึงไม่อาจยกอายุความของนายสมนึกขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ เห็นว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้ค้ำประกันซึ่งรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมเท่านั้น หาใช่เป็นลูกหนี้ร่วมในการเป็นคู่สัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทไม่ ผู้ค้ำประกันจึงเพียงแต่ไม่อาจยกข้อต่อสู้ของผู้ค้ำประกันขึ้นต่อสู้เจ้าหนี้เท่านั้น แต่ผู้ค้ำประกันย่อมยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ขึ้นต่อสู้เจ้าหนี้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 694 ดังนี้เมื่อสิทธิเรียกร้องของโจทก์ต่อกองมรดกของนายสมนึกขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1754 วรรคสาม แล้ว จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันย่อมยกอายุความขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์เป็นประการสุดท้ายว่า โจทก์ใช้สิทธิเรียกค่าเสียหายอันเนื่องมาจากการเลิกสัญญา กฎหมายมิได้บัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะอายุความจึงมีกำหนด 10 ปี เห็นว่า คดีนี้เป็นเรื่องลูกหนี้ถึงแก่ความตาย โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้กองมรดกจะต้องฟ้องร้องภายในกำหนด 1 ปี นับแต่ได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 วรรคสาม ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน”

พิพากษายืน

Share