แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งปลัดอำเภอ มีหน้าที่เกี่ยวกับการเงินตามโครงการ กสช. ได้สั่งให้คณะกรรมการสภาตำบลแก้ไขหลักฐานการเบิกจ่ายเงินให้เกินความเป็นจริง แล้วจำเลยเอาเงินนั้นไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยทุจริต ดังนี้ แสดงว่าจำเลยมีเจตนามาแต่แรกที่จะกระทำการทุจริตโดยใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตน มิใช่ว่าจำเลยกระทำโดยชอบด้วยอำนาจในตำแหน่งแล้วกระทำการทุจริตในภายหลัง จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 เท่านั้น หาเป็นความผิดตามมาตรา 149 อีกด้วยไม่
แม้โจทก์จะขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 และขอให้จำเลยคืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหายมาด้วยก็ตาม แต่เมื่อศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 148 เท่านั้น โจทก์จึงไม่มีอำนาจขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นปลัดอำเภอ อำเภอดอกคำใต้ จังหวัดพะเยา เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย นายอำเภอดอกคำใต้มีคำสั่งให้จำเลยปฏิบัติหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับโครงการสร้างงานในชนบท (กสช.) มีหน้าที่ตรวจสอบหลักฐานการเบิกเงินตามโครงการซึ่งคณะกรรมการสภาตำบลทุกตำบลในอำเภอดอกคำใต้ได้ส่งมา ขอเบิกเงินแล้วดำเนินการเพื่อขออนุมัติสั่งจ่ายเงินทั้งมีหน้าที่จ่ายเงินให้แก่คณะกรรมการสภาตำบลต่าง ๆ ด้วย จำเลยได้ปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต คือเมื่อคณะกรรมการสภาตำบลได้ทำหลักฐานขอเบิกเงินค่าแรงราษฎรที่มาทำงานตามความเป็นจริงเสนอให้จำเลยตรวจสอบและดำเนินการเบิกจ่ายแต่ จำเลยได้จงใจถ่วงเรื่องไว้ แล้วได้ข่มขืนใจนายมีประธานกรรมการสภาตำบลและกรรมการด้วยการให้บุคคลดังกล่าวกรอกข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารหลักฐานการจ่ายเงินค่าแรงงานของราษฎรให้สูงกว่าความเป็นจริง แล้วให้นายมีกับพวกใช้เอกสารดังกล่าวเป็นหลักฐานการขอเบิกเงินทำให้มีเงินเหลือจ่ายเพื่อจำเลยจะได้เอาไว้เป็นประโยชน์ของจำเลย หากนายมีกับพวกไม่กระทำตามก็ไม่สามารถเบิกเงินจากทางราชการไปจ่ายให้แก่ราษฎรที่มาทำงานได้จึงเป็นเหตุให้นายมีกับพวกต้องจำยอมทำตามผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยาหลงเชื่อได้อนุมัติจ่ายเงินตามหลักฐานดังกล่าว แล้วจำเลยได้เรียกและรับเงินจำนวน ๑๑๐,๐๐๐ บาท ที่จำเลยได้บังคับข่มขืนใจให้นายมีกับพวกปลอมและทำหลักฐานการจ่ายเงินค่าแรงอันเป็นเท็จแล้วนำไปเบิกเงินเกินมาแล้วเบียดบังไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยโดยมิชอบและโดยทุจริตเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและประชาชน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๔๗, ๑๔๘, ๑๔๙, ๑๕๑, ๑๕๗, ๑๖๑, ๑๖๒, ๒๖๔, ๒๖๕, ๒๖๖, ๒๖๘, ๘๓, ๘๔ ให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวน ๑๑๐,๐๐๐ บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา๑๔๘, ๑๔๙ เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษบทหนักที่สุดตามมาตรา ๙๐ จำคุก ๑๐ ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท แก่ทางราชการ ความผิดอื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สภาตำบลบ้านถ้า อำเภอดอกคำใต้ จังหวัดพะเยา ซึ่งนายมีเป็นประธานกรรมการได้รับจัดสรรเงินจากรัฐบาลเพื่อดำเนินการพัฒนาท้องถิ่นตามโครงการ กสช. ในระหว่างดำเนินงานตามโครงการนั้นคณะกรรมการสภาตำบลบ้านถ้ำทำหลักฐานการจ่ายเงินค่าแรงที่ราษฎรมาทำงานเต็มตามโครงการทั้งหมดซึ่งเป็นความเท็จโดยเบิกเงินเกินกว่าความเป็นจริง ๒๐๐,๐๐๐ บาทแล้วนายมีนำเงิน ๙๐,๐๐๐บาทส่งคืนให้แก่รองผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา ยังขาดอยู่ ๑๑๐,๐๐๐ บาทขณะเกิดเหตุจำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีตำแหน่งเป็นปลัดอำเภอดอกคำใต้ จังหวัดพะเยา มีหน้าที่รับผิดชอบงานพัฒนาและส่งเสริมอาชีพได้รับคำสั่งจากนายอำเภอให้แนะนำช่วยเหลือคณะกรรมการสภาตำบลในการจัดทำโครงการ กสช. ตลอดจนแนะนำช่วยเหลือกำกับดูแลผลการดำเนินการเบิกจ่ายเงินตามโครงการกับเป็นกรรมการรักษาเงินสำรองจ่ายตามโครงการ กสช. ด้วยจำเลยเป็นผู้สั่งคณะกรรมการสภาตำบลบ้านถ้ำแก้ไขหลักฐานการเบิกจ่ายเงินค่าแรงให้เกินกว่าความเป็นจริง แล้วจำเลยเอาเงินจำนวน ๑๑๐,๐๐๐ บาท ที่ได้จากการกระทำดังกล่าวไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยทุจริตเช่นนี้ การกระทำของจำเลยแสดงว่าจำเลยมีเจตนามาแต่แรกที่จะกระทำการทุจริตโดยใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตนมิใช่ว่าจำเลยกระทำโดยชอบด้วยอำนาจในตำแหน่งแล้วกระทำการทุจริตในภายหลังการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๘ เท่านั้นหาเป็นความผิดตามมาตรา ๑๔๙ อีกด้วยไม่ และที่โจทก์ขอให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวน ๑๑๐,๐๐๐ บาทแก่ผู้เสียหายด้วยนั้นเมื่อปรากฏว่าการกระทำของจำเลยคงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๔๘ เพียงบทเดียว โจทก์จึงไม่มีอำนาจขอให้จำเลยใช้หรือคืนราคาทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๔๓
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา๑๔๘ เพียงบทเดียว กับให้ยกคำขอของโจทก์ที่ขอให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวน ๑๑๐,๐๐๐ บาท แก่ผู้เสียหายนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.