แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
กรมธรรม์ประกันภัยที่จำเลยที่ 2 ทำไว้กับจำเลยที่ 3 มีข้อความว่า จำเลยที่ 3จะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัย ซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดตามกฎหมาย เพื่อความเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก เนื่องจากอุบัติเหตุอันเกิดจากการใช้รถยนต์ในระหว่างระยะเวลาเอาประกันภัย ข้อความดังกล่าวมีความหมายแต่เพียงว่าจำเลยที่ 2 จะรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแทนผู้เอาประกันภัยแก่บุคคลภายนอกเฉพาะแต่อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอันเนื่องจากการใช้รถคันที่เอาประกันภัยเท่านั้น เมื่อปรากฏว่าเหตุที่ไฟไหม้พื้นถนนของโจทก์เกิดเพราะจำเลยที่ 1 ลูกจ้างของจำเลยที่ 2ผู้เอาประกันภัยทิ้งสินค้าที่เกิดไฟลุกไหม้ขึ้นเองบนรถที่เอาประกันภัย ความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงมิใช่อุบัติเหตุอันเกิดจากการใช้รถยนต์ที่จำเลยที่ 3 รับประกันภัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างขับรถและเป็นตัวแทนในการประกอบกิจการขนส่งของจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุก จำเลยที่ ๓ เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์คันดังกล่าวจากจำเลยที่ ๒ เมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๒๗ เวลากลางคืน จำเลยที่ ๑ได้ขับรถยนต์ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ บรรทุกสินค้าในรถยนต์แล่นไปตามทางด่วนได้เกิดเพลิงลุกไหม้สินค้าที่บรรทุกมาในรถและสินค้าที่ถูกเพลิงไหม้หล่นลงบนพื้นทำให้ผิวถนนที่ปูลาดด้วยยางแอสฟัลติกคอนกรีตเสียหายโดยละเมิด โจทก์เสียค่าซ่อมถนนเป็นเงิน ๑๐๑,๘๘๐ บาท และเสียค่าน้ำยาดับเพลิงอีกเป็นเงิน ๒,๑๕๐ บาท รวมเป็นค่าเสียหาย ๑๐๔,๐๓๐ บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน ๑๐๔,๐๓๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกที่เกิดเหตุได้เอาประกันภัยไว้กับจำเลยที่ ๓ จริง แต่จำเลยที่ ๑ ไม่ได้เป็นลูกจ้างขับรถของจำเลยที่ ๒ เพราะขณะเกิดเหตุจำเลยที่ ๑ ได้เช่ารถไปใช้ธุรกิจส่วนตัว จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า จำเลยที่ ๓ ได้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์ที่เกิดเหตุไว้จากจำเลยที่ ๒ จริง ในวงเงินไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท แต่จำเลยที่ ๑ ไม่ได้กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อต่อโจทก์ เพียงแต่บรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสินค้าที่บรรทุกมาในรถที่เกิดเหตุเพลิงไหม้โดยไม่ทราบสาเหตุและเป็นการสุดวิสัย จำเลยที่ ๑ ไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ ๓ จะต้องรับผิดเมื่อเหตุเกิดจากการใช้รถยนต์ในระหว่างประกันภัย แต่พื้นผิวจราจรถูกเพลิงไหม้ไม่ได้เกิดจากการใช้รถยนต์ที่เอาประกันภัย ค่าเสียหายของโจทก์ไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ร่วมกันชำระเงินจำนวน๑๐๑,๘๘๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๓
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ร่วมกันรับผิดชำระเงินให้แก่โจทก์เพิ่มขึ้นอีก ๒,๑๕๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ตามกรมธรรม์ประกันภัยที่จำเลยที่ ๒ ทำไว้กับจำเลยที่ ๓ ที่มีข้อความว่า จำเลยที่ ๓ จะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัยจำเลยที่ ๒ซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบตามกฎหมายเพื่อความเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอกเนื่องจากอุบัติเหตุอันเกิดจากการใช้รถยนต์ในระหว่างระยะเวลาประกันภัย ฯลฯ เห็นว่า ข้อสัญญาดังกล่าวหมายความแต่เพียงว่า จำเลยที่ ๓ จะรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแทนจำเลยที่ ๒ แก่บุคคลภายนอกเฉพาะแต่อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอันเนื่องจากการใช้รถคันที่เอาประกันภัยเท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าเหตุที่ไฟลุกไหม้สินค้าที่บรรทุกอยู่บนรถยนต์ของจำเลยที่ ๒ เป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นมาเอง ส่วนไฟที่ไหม้พื้นถนนของโจทก์เป็นเพราะจำเลยที่ ๑ ทิ้งสินค้าที่ไฟลุกไหม้นั้นลงพื้นถนน ความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงมิใช่อุบัติเหตุอันเกิดจากการใช้รถยนต์ที่จำเลยที่ ๓ รับประกันภัย โจทก์จะถือเอามาเป็นเหตุให้จำเลยที่ ๓ ต้องรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ตามกรมธรรม์ไม่ได้
พิพากษายืน.