คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3785/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายเป็นเพียงพยานบอกเล่าซึ่งจำเลยไม่มีโอกาสซักค้าน จึงนำมารับฟังลงโทษจำเลยไม่ได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา282, 283, 317, 318, 83
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 282, 283 และ 318 เป็นความผิดกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา 283 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทหนักจำคุก 8 ปีคำให้การชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงเหลือจำคุก 5 ปี 4 เดือนข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้เสียหายเกิดวันที่ 13 เมษายน 2513 จำเลยได้พาผู้เสียหายจากจังหวัดเชียงใหม่ไปจังหวัดอุดรธานี ต่อมาวันที่ 15 มกราคม 2529 ผู้เสียหายกลับมาพบนางพิมพาและได้แจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจดำเนินคดีนี้กับจำเลย ปัญหามีว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ คดีนี้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานที่รู้เห็นการกระทำผิดของจำเลยมาเบิกความเป็นพยานคงมีแต่คำของนางพิมพา คำทัศน์ น้าของผู้เสียหายซึ่งเบิกความว่าผู้เสียหายพักอาศัยอยู่กับนางพิมพาที่บ้านของนางพิมพา ตำบลช้างเผือก อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งแต่ พ.ศ. 2527ใน พ.ศ. 2528 ผู้เสียหายขออนุญาตนางพิมพากลับไปเยี่ยมบ้านที่อำเภองาว จังหวัดลำปาง ต่อมาประมาณ 2 อาทิตย์ มารดาของผู้เสียหายได้มาตามผู้เสียหายที่บ้านนางพิมพา ปรากฏว่าผู้เสียหายยังไม่กลับมา นางพิมพาได้ไปตามหาผู้เสียหายที่บ้านเพื่อนผู้เสียหายและบ้านพี่สาวผู้เสียหายที่ผู้เสียหายเคยอยู่แต่ไม่พบ ต่อมาวันที่15 มกราคม 2529 ผู้เสียหายได้กลับมาที่บ้านนางพิมพาและเล่าให้นางพิมพาฟังว่าถูกจำเลยล่อลวงพาไปค้าประเวณีที่จังหวัดอุดรธานีแล้วผู้เสียหายได้พานางพิมพาไปที่บ้านจำเลยซึ่งอยู่ในอำเภอเมืองเชียงใหม่ พบจำเลย จากนั้นนางพิมพาได้ให้สามีของตนไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจและนำเจ้าพนักงานตำรวจมาจับจำเลยไปดำเนินคดีศาลฎีกาเห็นว่าพยานปากนี้เป็นพยานบอกเล่าโดยรับฟังมาจากผู้เสียหายหาได้เห็นเหตุการณ์ด้วยตนเองไม่ แม้โจทก์จะอ้างคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายมาเป็นพยานตามเอกสารหมาย จ.3 ซึ่งในคำให้การชั้นสอบสวนดังกล่าวระบุว่า ผู้เสียหายเดินทางไปเยี่ยมมารดาและพี่สาวที่อำเภองาว จังหวัดลำปาง ได้ประมาณ 10 วัน จึงเดินทางกลับมาพร้อมกับเพื่อนสาว 2 คน แล้วไปเช่าหอพักไม่มีชื่ออยู่ข้างธนาคารที่ถนนโชตนา ตำบลช้างเผือก อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ต่อมาในวันเดียวกัน จำเลยซึ่งพักอยู่ที่หอพักนั้นอยู่ก่อนได้ชวนผู้เสียหายกับเพื่อนไปทำงานที่ร้านเสริมสวยชื่อน้อย ซึ่งอยู่ในจังหวัดอุดรธานีผู้เสียหายกับเพื่อนสาว 2 คนก็ตกลง แล้วพากันเดินทางไปถึงจังหวัดอุดรธานีในวันรุ่งขึ้นเวลา 21 นาฬิกา จำเลยพาไปที่ร้านเสริมสวยพบนางถิ่นเจ้าของร้าน นางถิ่นกับจำเลยพาผู้เสียหายกับเพื่อนไปที่บ้านอีกหลังหนึ่ง ให้เข้าไปในห้องชั้นบนแล้วคล้องกุญแจด้านนอกไว้ทำให้ผู้เสียหายกับเพื่อนออกไม่ได้ วันรุ่งขึ้นเวลา19 นาฬิกา มีหญิงชื่อแหม่มพาผู้เสียหายกับเพื่อนคนหนึ่งไปรับประทานอาหารที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งและแนะนำให้รู้จักกับผู้ชาย2 คน รับประทานอาหารได้สักครู่ผู้เสียหายมีอาการมึนศีรษะและบังคับตัวเองไม่ได้ ชายคนหนึ่งได้พาผู้เสียหายขึ้นรถยนต์ไปที่ห้องพักในโรงแรม 69 จากนั้นผู้เสียหายก็ไม่รู้สึกตัว มารู้สึกตัวเมื่อปรากฏว่าอยู่ในห้องที่นางถิ่นเอามาขังไว้ ผู้เสียหายรู้สึกเจ็บที่หน้าท้องและที่อวัยวะเพศมีเลือดออกบริเวณช่องคลอด ต่อมาประมาณ1 สัปดาห์ นางแหม่มจะพาผู้เสียหายไปค้าประเวณีอีก ผู้เสียหายไม่ไป จึงถูกนางแหม่มตบหน้าและทำร้ายร่างกายจนต้องยอม นางแหม่มพาผู้เสียหายลงมาชั้นล่างของบ้านดังกล่าวและให้เข้าไปในห้องกระจกผู้เสียหายถูกบังคับให้ค้าประเวณีเรื่อยมาจนกระทั่งมีแขกคนหนึ่งพาผู้เสียหายออกไปเที่ยวข้างนอก ผู้เสียหายจึงถือโอกาสหลบหนีเดินทางมาหานางพิมพาผู้เป็นน้าที่อำเภอเมืองเชียงใหม่ เล่าเรื่องให้นางพิมพาฟัง จากนั้นจึงได้ไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนก็ตาม แต่คำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายก็เป็นเพียงพยานบอกเล่าซึ่งจำเลยย่อมไม่มีโอกาสซักค้าน จึงจะนำคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายมารับฟังลงโทษจำเลยหาได้ไม่ ทั้งโจทก์ก็ไม่มีพยานมาสืบว่าบ้านที่จำเลยนำผู้เสียหายกับเพื่อนไปไว้นั้นเป็นสถานที่ค้าประเวณี ส่วนจำเลยก็นำสืบว่า ได้พาผู้เสียหายกับเพื่อนไปรับจ้างทำงานเลี้ยงบุตรและช่วยทำผมที่ร้านเสริมสวยของนางถิ่นในจังหวัดอุดรธานี ตามที่ผู้เสียหายกับเพื่อนต้องการหางานทำ แล้วจำเลยกับนางสาวจันทิมาซึ่งไปเที่ยวด้วยก็เดินทางกลับจังหวัดเชียงใหม่ด้วยกัน ซึ่งข้อเท็จจริงอาจเป็นดังที่จำเลยนำสืบก็เป็นได้ประกอบกับตามคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายปรากฏว่าหลังจากผู้เสียหายกลับจากไปเยี่ยมมารดาและพี่สาวแล้วได้กลับมาพักที่หอพักซึ่งขอเช่า มิได้กลับมาพักที่บ้านนางพิมพาน้าของผู้เสียหายเหมือนเดิม ข้อเท็จจริงจึงไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องฐานพรากผู้เยาว์ไปเสียจากผู้ปกครองหรือชักพาผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร พยานโจทก์ที่นำสืบยังเป็นที่สงสัยไม่มั่นคงเพียงพอที่จะฟังว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย…”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share