แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินเฉพาะส่วน 100 ตารางวาที่จำเลยเข้าไปปลูกสร้างโรงเลี้ยงสุกร ซึ่งไม่เกี่ยวกับที่ดินที่ผู้ร้องสอดอ้างว่ามีสิทธิครอบครองแต่อย่างใด ผู้ร้องสอดจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องสอดเข้ามาในคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57(1).
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 858 ตำบลบ้านโคนอำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ เนื้อที่ 4 ไร่ 69 ตารางวา จำเลยทั้งสองเข้าปลูกสร้างโรงเลี้ยงสุกรในที่ดินของโจทก์ ส่วนหนึ่งเนื้อที่ประมาณ 100 ตารางวา ทำให้โจทก์ขาดประโยชน์เสียหายเป็นเงินเดือนละ 5,000 บาท ขอให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนและขนย้ายโรงเลี้ยงสุกรทั้งหมดออกไปให้พ้นที่ดินของโจทก์กับขอให้จำเลยทั้งสองปรับที่ดินให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยและชดใช้ค่าเสียหายอีกเดือนละ5,000 บาท นับแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน 2530 เป็นต้นไป
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ
นางกุหลาบ ด้วงภู่ทิม ยื่นคำร้องสอดขอเข้าเป็นคู่ความว่าเดิมที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 858 เป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ (อ่านไม่ออก) เนื้อที่5 ไร่ มีชื่อนายดี มั่นอ้น เป็นเจ้าของและผู้ครอบครอง นายดีนางแนว มั่นอ้น เป็นบิดามารดาของโจทก์ จำเลยที่ 2 นายหยอดมั่นอ้น ผู้ร้องสอด นางสำเริง ชื่นอารมณ์ กับพี่น้องอีก 6 คนก่อนนายดี มั่นอ้น ถึงแก่กรรม ได้จัดสรรแบ่งที่ดินตาม ส.ค.1ดังกล่าวให้แก่บุตรทั้งสิบเอ็ดคนเป็นส่วนสัด ส่วนของผู้ร้องสอดมีเนื้อที่ประมาณ 130 ตารางวา ทิศเหนือจดส่วนของจำเลยที่ 2 ทิศใต้จดส่วนของนายหยุด มั่นอ้น ถัดจากที่ดินของนายหยด มั่นอ้นมาทางใต้เป็นที่ดินของนายหยอด มั่นอ้น ซึ่งมีโรงเลี้ยงสุกรของจำเลยทั้งสองปลูกอยู่ ผู้รับยกให้ทั้งหมดได้เข้าครอบครองเป็นเจ้าของส่วนที่ได้รับตั้งแต่ได้รับยกให้และทำประโยชน์ในที่ดินตลอดมาโจทก์ได้แจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงานว่า นายดี มั่นอ้น บิดาได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว โจทก์มีสิทธิรับมรดกที่ดินดังกล่าวและครอบครองมาแต่ผู้เดียว ทำให้เจ้าพนักงานหลงเชื่อว่าเป็นความจริงและออกน.ส.3 ก. เลขที่ 858 ดังกล่าวให้เป็นชื่อโจทก์แต่ผู้เดียว ต่อมาโจทก์ได้แบ่งแยก น.ส.3 ก. ของตนให้เป็นชื่อนางศิริรัตน์ในส่วนที่เป็นของนางสำเริงครอบครอง และแบ่งแยกส่วนที่เป็นของผู้ร้องสอดครอบครองอยู่ให้เป็นของนายพนมบุตรชายนายหยดมั่นอ้น โดยให้นายหยด มั่นอ้น เปลี่ยนที่ดินของตนกับผู้ร้องสอดผู้ร้องสอดก็ยินยอม จึงเข้าครอบครองส่วนที่นายหยดรับแบ่งครอบครองมาแต่เดิมเป็นของผู้ร้องสอด เนื้อที่ประมาณ 130 ตารางวาผู้ร้องสอดได้ครอบครองและทำประโยชน์ที่ดินส่วนนี้เป็นของตนตลอดมาไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านผู้ร้องสอดจึงมีสิทธิครอบครอง การที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของผู้ร้องสอดขอให้ยกฟ้อง และพิพากษาว่า ที่ดินเฉพาะส่วนตาม ส.ค.1เลขที่ (อ่านไม่ออก) ที่ผู้ร้องสอดครอบครองอยู่เนื้อที่ประมาณ130 ตารางวา ทิศเหนือจดที่ดินนายพนม มั่นอ้น ทิศใต้จดที่ดินของนายหยอด มั่นอ้น ทิศตะวันออกจดที่ดินนายติ่ง ทิศตะวันตกจดที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทยเป็นของผู้ร้องสอดและห้ามโจทก์เกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าว
ศาลชั้นต้นตรวจคำร้องแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องสอดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
ผู้ร้องสอดฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีคงมีปัญหาที่จะวินิจฉัยว่า ผู้ร้องสอดมีสิทธิร้องสอดเข้าเป็นคู่ความตามคำร้องหรือไม่ พิเคราะห์แล้วคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 858 ตำบลบ้านโคนอำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ เนื้อที่ 4 ไร่ 69 ตารางวา จำเลยทั้งสองเข้าไปปลูกสร้างโรงเลี้ยงสุกรในที่ดินของโจทก์ส่วนหนึ่งเนื้อที่ประมาณ 100 ตารางวา เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2530โจทก์แจ้งให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนโรงเลี้ยงสุกรออกไปจากที่ดินของโจทก์ จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ทำให้โจทก์ขาดประโยชน์เสียหายเดือนละ 5,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนและขนย้ายโรงเลี้ยงสุกรออกจากที่ดินของโจทก์กับชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เห็นว่า ที่ดินพิพาทในคดีนี้คือที่ดินเฉพาะส่วนที่จำเลยทั้งสองเข้าไปปลูกสร้างโรงเลี้ยงสุกร ประเด็นแห่งคดีนี้จึงมีว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และโจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินพิพาทหรือไม่ ซึ่งไม่เกี่ยวกับที่ดินที่ผู้ร้องสอดอ้างว่าผู้ร้องสอดมีสิทธิครอบครองแต่อย่างใด ผู้ร้องสอดจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องสอดเข้ามาในคดีนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57(1) ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องสอดฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.