แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่จำเลยที่ 1 โอนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 เพื่อใช้หนี้จำเลยที่ 2 โดยรู้อยู่แล้วว่าจะทำให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 อยู่เสียเปรียบ ส่วนจำเลยที่ 2 แม้จะอ้างว่ารับโอนที่ดินพิพาทมาโดยเปิดเผยและสุจริต ไม่ทราบเรื่องหนี้สินระหว่างจำเลยที่ 1 กับโจทก์ แต่การที่จำเลยที่ 2 รับโอนที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 ภายหลังจำเลยที่ 2 เป็นโจทก์ฟ้องสามีจำเลยที่ 1 และเมื่อจำเลยที่ 2 ถูกโจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้ จำเลยที่ 2 ก็รับโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่บุคคลภายนอกไปโดยขณะทำการโอนนั้นเจ้าพนักงานที่ดินได้แจ้งเรื่องที่โจทก์ขออายัดที่ดินพิพาทให้ทราบแล้ว จำเลยที่ 2ยังยืนยันให้โอนแก่บุคคลภายนอก แสดงว่าจำเลยที่ 2 รู้ถึงข้อความจริงขณะรับโอนที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 ว่าจะเป็นทางให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบ ถือว่าเป็นการฉ้อฉลต่อโจทก์โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 และนายดำรง พุ่มพวงสามีจำเลยที่ 1 ให้รับผิดชำระเงินในฐานะเป็นผู้สั่งจ่ายเช็ครวมสามฉบับเป็นเงิน 313,214 บาท ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 418/2530ของศาลชั้นต้น วันที่ 19 พฤศจิกายน 2530 จำเลยที่ 1 ได้โอนขายที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1747และ 1934 ของจำเลยที่ 1 ให้แก่จำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 รู้อยู่แล้วว่า จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ และโจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลดังกล่าวแล้ว จึงเป็นการฉ้อฉล ทำให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบ ไม่อาจบังคับชำระหนี้เอาแก่จำเลยที่ 1 ได้ ขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาททั้งสองแปลงระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ฉบับลงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2530
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 และนายดำรงสามีจำเลยที่ 1ได้สั่งจ่ายเช็ครวมสองฉบับเป็นเงิน 411,900 บาท ชำระหนี้ค่าวัสดุก่อสร้างแก่จำเลยที่ 2 แต่เรียกเก็บเงินไม่ได้ จำเลยที่ 2จึงไปร้องทุกข์ดำเนินคดี ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้เสนอขายที่ดินพิพาททั้งสองแปลงหักใช้หนี้ให้แก่จำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 ต้องไปไถ่ถอนจำนองธนาคารในวงเงิน 62,914.62 บาท ซึ่งจำเลยที่ 2ตกลงรับซื้อที่ดินพิพาททั้งสองแปลงไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนไม่ทราบว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์มาก่อน ไม่ทำให้โจทก์เสียเปรียบจำเลยที่ 1 ยังมีทรัพย์สินอื่นที่โจทก์สามารถบังคับชำระหนี้ได้โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1474 (ที่ถูกเป็น 1747)และ 1934 ตำบลในเมือง อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ฉบับลงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2530
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 และนายดำรงสั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ค่าวัสดุก่อสร้างแก่โจทก์ และนายดำรงได้สั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ค่าวัสดุก่อสร้างแก่จำเลยที่ 2 ด้วย แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินดังกล่าว โจทก์และจำเลยที่ 2 จึงไปร้องทุกข์ดำเนินคดีร้อยตำรวจเอกจำลองพนักงานสอบสวนดำเนินการไกล่เกลี่ย โจทก์กับจำเลยที่ 1 ไม่ตกลงกัน จำเลยที่ 1 นำที่ดินพิพาททั้งสองแปลงที่จำนองไว้แก่ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด โอนตีใช้หนี้แก่จำเลยที่ 2 ตามสำเนาหนังสือสัญญาขายที่ดินเอกสารหมาย จ.1 ต่อมาโจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 กับนายดำรงให้ชำระเงินตามเช็คดังกล่าวแล้ว ตามเอกสารหมาย จ.2 ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยที่ 1 ได้โอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 โดยรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบและโจทก์ขอเพิกถอนการโอนได้หรือไม่ พยานโจทก์มีตัวโจทก์เบิกความว่า เมื่อเรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้จึงปรึกษานายสุภัทร์ไพสิน และนายสุรศักดิ์ คลี่ขจาย ทนายความ แล้วไปร้องทุกข์ต่อร้อยตำรวจเอกจำลองพนักงานสอบสวน จำเลยที่ 1 กับนายดำรงมีหนี้สินมาก จึงไม่ตกลงรับ ภายหลังจึงทราบว่าจำเลยที่ 1 กับนายดำรงได้โอนที่ดินพิพาทตีใช้หนี้แก่จำเลยที่ 2 ไปแล้ว นายสุภัทร์เบิกความว่า เมื่อยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 กับนายดำรงสามีในคดีเช็คแล้วจำเลยที่ 1 ได้โอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ตามเอกสารหมาย จ.1 และหลังจากฟ้องคดีนี้แล้วจำเลยที่ 2 ได้มาพบขอประนีประนอมยอมความ จำเลยที่ 2 ทราบเรื่องที่จำเลยที่ 1 กับนายดำรงเป็นหนี้โจทก์ดี เพราะไปปรึกษากับร้อยตำรวจเอกจำลองเกี่ยวกับเช็คที่นายดำรงสั่งจ่ายแก่จำเลยที่ 2 แล้วเรียกเก็บเงินไม่ได้พร้อม ๆ กับที่โจทก์ร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 กับนายดำรงจำเลยที่ 1 กับนายดำรงจึงเสนอจำเลยที่ 2 ขอโอนที่ดินพิพาทตีใช้หนี้แทน นายสุรศักดิ์ก็เบิกความสมพ้องต้องกันดังกล่าวร้อยตำรวจเอกจำลองเบิกความว่า ทั้งโจทก์และจำเลยที่ 2 ต่างมาร้องทุกข์กล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 กับนายดำรงชำระหนี้โดยเช็คแต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ได้เจรจาไกล่เกลี่ยแล้วโจทก์ไม่ตกลงที่จำเลยที่ 1 และนายดำรงจะนำที่ดินที่ติดจำนองอยู่กับธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาสวรรคโลกมาชำระหนี้แก่โจทก์จึงดำเนินคดีต่อไป และได้ความจากจำเลยที่ 1 ว่าจำเลยที่ 1ไม่มีอาชีพอะไร ขณะที่จำเลยที่ 2 ร้องทุกข์ต่อร้อยตำรวจเอกจำลองให้ดำเนินคดีเช็คแก่นายดำรงนั้น โจทก์ก็ได้ไปร้องทุกข์ต่อร้อยตำรวจเอกจำลองให้ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 เหตุที่ต้องโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 เพราะไม่ประสงค์ให้นายดำรงต้องคดีและนายดำรงก็หลบหนีไป การที่จำเลยที่ 2 รับโอนที่ดินพิพาทไปจะทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบหรือไม่ จำเลยที่ 1 ไม่ทราบ แต่ไม่มีทรัพย์สินอื่นให้เจ้าหนี้ยึดชำระหนี้ได้อีก เมื่อโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ไปแล้ว นายดำรงก็ถูกจำเลยที่ 2 ฟ้องคดีเรียกเงินตามเช็ค แต่ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ปัจจุบันจำเลยที่ 1ยังคงครอบครองดูแลที่ดินพิพาทอยู่ ไม่มีผู้อื่นใดเข้าเกี่ยวข้องแม้แต่จำเลยที่ 2 เอง ศาลฎีกาเห็นว่า พยานโจทก์แต่ละปากเบิกความสอดคล้องกันสมเหตุสมผลน่าเชื่อถือ ซึ่งจำเลยที่ 1 เองก็ยอมรับว่าไม่มีทรัพย์สินอื่นใดที่จะให้เจ้าหนี้ยึดเพื่อชำระหนี้ได้อีกทั้งข้อเท็จจริงอื่นจากคำเบิกความของจำเลยที่ 1 ดังที่กล่าวมาประกอบพฤติการณ์แห่งคดีก็เป็นการเจือสมกับการนำสืบของโจทก์ยิ่งขึ้นแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ได้โอนที่ดินพิพาทตีใช้หนี้ของนายดำรงให้แก่จำเลยที่ 2 โดยรู้อยู่แล้วว่าจะทำให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 อยู่เสียเปรียบ ที่จำเลยที่ 2 เบิกความว่ารับโอนที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยเปิดเผยและสุจริต ไม่ทราบเรื่องหนี้สินระหว่างจำเลยที่ 1 กับโจทก์ แต่ตอบคำถามค้านว่าฟ้องคดีเรียกเงินตามเช็คจากนายดำรงหลังจากจำเลยที่ 1 ได้โอนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 แล้วเพราะเหตุใดไม่สามารถอธิบายได้และปรากฏว่าเมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้จำเลยที่ 2 ได้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การ พอเวลาบ่ายวันเดียวกัน จำเลยที่ 2 ก็ได้โอนขายที่ดินพิพาทให้แก่บุคคลภายนอกไปจึงดูมีพิรุธ นายสุภัทร์นายสุรศักดิ์ และร้อยตำรวจเอกจำลอง ต่างก็เบิกความยืนยันว่าจำเลยที่ 2 ทราบเรื่องดีว่าโจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 และนายบุญมี นาคทอง รับราชการประจำสำนักงานที่ดินอำเภอสวรรคโลกผู้มีหน้าที่ตรวจสอบการจดทะเบียนและการทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินพิพาทพยานโจทก์ก็ได้เบิกความว่าได้แจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบแล้วในเรื่องที่โจทก์ขอให้อายัดที่ดินพิพาท แต่จำเลยที่ 2 ยืนยันให้จดทะเบียนการโอน จึงได้ดำเนินการให้ ดังนี้ ย่อมชี้ชัดว่าจำเลยที่ 2ได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 อยู่ต้องเสียเปรียบถือได้ว่าเป็นการฉ้อฉลต่อโจทก์พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อถือกว่าพยานหลักฐานจำเลยโจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายดังกล่าวเสียได้ฎีกาข้ออื่นของจำเลยที่ 2 ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยเพราะมิได้ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามาชอบแล้วฎีกาจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน