คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1126/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ทำสัญญากู้เงินกันไว้โดยถูกต้องตามกฎหมาย แต่ไม่ได้ลงนามพยานในสัญญา ต่อมาผู้ให้กู้จึงให้ผู้อื่นลงนามเป็นพยานในท้ายสัญญาโดยผู้กู้มิได้รู้เห็นด้วย แล้วผู้ให้กู้นำสัญญานั้นมาฟ้องต่อศาลดั่งนี้ ผู้ให้กู้หามีผิดฐานปลอมเอกสารไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์ได้ทำหนังสือสัญญากู้เงิน 80,000 บาทให้ไว้กับจำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยทั้งสองได้บังอาจสมคบกันปลอมหนังสือสัญญากู้เงินดังกล่าวโดยให้จำเลยที่ 2 เซ็นนามเป็นพยาน เป็นการกระทำเพิ่มเติมขึ้นภายหลังจากการกระทำสัญญากู้เงินกันแล้ว จึงเป็นการปลอมเอกสาร และได้นำข้อความที่รู้อยู่ว่าเป็นเท็จมาเบิกความเป็นพยานในศาลและใช้เอกสารปลอมเป็นพยาน ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 266, 268 และ 177

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองยังไม่เป็นความผิด พิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า การกระทำที่จะเป็นผิดฐานปลอมเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 จะต้องเป็นการกระทำที่น่าจะเกิดหรืออาจเกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือประชาชน คดีนี้ โจทก์รับอยู่ว่า โจทก์ได้ลงชื่อในหนังสือสัญญากู้เงินจำเลยที่ 1 ไป 80,000 บาทจริง สัญญาดังกล่าวจึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว การที่จำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 ลงชื่อในสัญญานั้นในภายหลัง ตามกฎหมายจึงไม่น่าจะเกิดหรืออาจเกิดความเสียหายแก่โจทก์ จำเลยจึงไม่ควรมีความผิดดังที่โจทก์ฎีกา

พิพากษายืนให้ยกฎีกาโจทก์

Share