คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1648/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ตายเดินไปที่ข้างรั้วบ้านจำเลย แล้วใช้ปืนลูกซองสั้นยิงไปบริเวณชานบ้านของจำเลย ซึ่งขณะนั้นจำเลยกับภริยากำลังนั่งกินอาหาร กระสุนปืนถูกภริยาจำเลยล้มฟุบลงไป จำเลยคว้ามีดโต้กระโดดจากบ้านลงไปเพื่อฟันผู้ตาย ผู้ตายวิ่งหนีเข้าไปในบ้านผู้ตายจำเลยวิ่งไล่ตาม แล้วผู้ตายหันหน้ามาทางจำเลย พร้อมกับใช้ปืนยิงสวนมาทันที 1 นัด ไม่ถูกจำเลย จำเลยใช้มีดฟันไป ผู้ตายยกแขนทั้งสองข้างขึ้นรับ แล้วผู้ตายก็ได้หันหลังจะขึ้นบันไดบ้านจำเลยเข้าใจว่าผู้ตายจะขึ้นไปเอากระสุนปืนมายิงจำเลยอีก จึงใช้มีดฟันทางด้านหลังถูกที่ต้นคอและฟันซ้ำถูกบริเวณใบหน้า ผู้ตายจึงล้มลง ข้อเท็จจริงดังกล่าวแสดงว่า ขณะที่จำเลยไล่ฟันผู้ตายนั้นผู้ตายยังถือปืนอยู่ตลอดเวลาและสามารถยิงมายังจำเลยได้ การที่จำเลยใช้มีดฟันผู้ตายไปจนอาวุธปืนจะหลุดไปจากมือของผู้ตายย่อมเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ เพราะหากปืนยังอยู่ในมือผู้ตายตราบใด ภยันตรายก็จะมีแก่จำเลยอยู่จนตราบนั้น และเป็นเรื่องที่ผู้ตายตั้งใจมาทำร้ายจำเลย จำเลยมีสิทธิป้องกันตัวได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288และริบของกลาง
จำเลยให้การต่อสู้อ้างเหตุป้องกัน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 69 จำคุก 1 ปี 6 เดือนจำเลยให้การต่อศาลเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปีริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ไม่ริบมีดของกลาง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏตามบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุ แผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุ ซึ่งจำเลยไม่โต้แย้ง และคำพยานโจทก์จำเลยซึ่งต้องกันว่า บ้านผู้ตายบ้านนางสายพิณ และบ้านจำเลยอยู่ติด ๆ กัน ตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุ วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 19.30 นาฬิกาผู้ตายซึ่งดื่มสุราแล้วประมาณครึ่งขวด ได้เดินมาที่ข้างรั้วบ้านจำเลย แล้วใช้ปืนลูกซองสั้นยิงไปบริเวณชาวบ้านของจำเลย ซึ่งขณะนั้นจำเลยกับนางพันธ์ภริยาจำเลยกำลังนั่งกินอาหาร กระสุนปืนถูกนางพันธ์ล้มฟุบลงไป จำเลยจึงคว้ามีดโต้กระโดดจากบ้านลงไปเพื่อฟันผู้ตาย ผู้ตายยิงปืนอีก 1 นัด แต่ไม่ถูกจำเลย จำเลยใช้มีดโต้ฟันผู้ตายหลายครั้งจนผู้ตายถึงแก่ความตาย แล้วไปแจ้งความต่อนายบุญมีผู้ใหญ่บ้านท้องที่และพาคนเจ็บคือนางพันธ์ส่งโรงพยาบาล โจทก์ฎีกาว่า การที่จำเลยใช้มีดโต้วิ่งไล่ผู้ตายและฟันผู้ตายถูกที่แขนผู้ตายถลาล้มลงไปหมดหนทางที่จะต่อสู้แล้วผู้ตายก็วิ่งหนีเข้าไปภายในบ้านของผู้ตาย จำเลยวิ่งไล่ตามและฟันผู้ตายตอนจะขึ้นบันไดอีก เป็นการกระทำเกินสมควรแก่เหตุที่จะป้องกัน เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์อ้างในฎีกานั้นยังคลาดเคลื่อนเพราะคำรับของจำเลยในชั้นสอบสวนที่โจทก์อ้างเป็นฎีกามีความว่าผู้ตายวิ่งหนีไปทางบ้านของผู้ตาย จำเลยไล่ติดตามไปอย่างกระชั้นชิดผู้ตายวิ่งเข้าไปในประตูรั้วบ้านของผู้ตาย แล้วผู้ตายหันหน้ามาทางจำเลยพร้อมกับใช้ปืนยิงสวนมาทันที 1 นัด แต่กระสุนพลาดไม่ถูกจำเลย จำเลยจึงใช้มีดฟันไป และผู้ตายยกแขนทั้งสองข้างขึ้นรับแล้วผู้ตายก็ได้หันหลังจะขึ้นบันไดบ้าน ซึ่งจำเลยเข้าใจว่าผู้ตายจะขึ้นไปเอากระสุนปืนมายิงจำเลยอีก ดังนั้นจำเลยจึงใช้มีดฟันทางด้านหลังถูกที่ต้นคอ ผู้ตายเซมาทางด้านหลัง จำเลยจึงฟันซ้ำอีก 1 ที ถูกบริเวณใบหน้า ผู้ตายจึงล้มลงที่พื้นดินตามคำรับของจำเลยในชั้นสอบสวนมีเพียงเท่านี้ แสดงว่าขณะที่จำเลยไล่ฟันผู้ตายนั้น ผู้ตายยังถือปืนอยู่ตลอดเวลา และสามารถยิงมายังจำเลยได้ การที่จำเลยใช้มีดฟันผู้ตายไปจนอาวุธปืนจะหลุดไปจากมือของผู้ตายย่อมเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ เพราะหากปืนยังอยู่ในมือผู้ตายตราบใด ภยันตรายก็จะมีแก่จำเลยอยู่จนตราบนั้นและเป็นเรื่องที่ผู้ตายตั้งใจมาทำร้ายจำเลย จำเลยมีสิทธิป้องกันตัวได้
พิพากษายืน

Share