แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยสละข้อต่อสู้ตามคำให้การที่ว่าหนังสือสัญญากู้ยืมเป็นเอกสารปลอม คงเหลือข้อต่อสู้เพียงว่า จำเลยไม่เคยมีนิติสัมพันธ์ ไม่เคยกู้ยืมเงิน และรับเงินไปจากโจทก์ คำให้การของจำเลยที่เหลือหลังจากสละข้อต่อสู้บางข้อแล้ว ยังคงเป็นคำให้การที่ปฏิเสธฟ้องโจทก์รวมทั้งเหตุแห่งการปฏิเสธชัดแจ้งเป็นคำให้การที่ชอบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง โจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์ว่าจำเลยกู้ยืมเงินและรับเงินไปจากโจทก์
โจทก์อ้างหนังสือสัญญากู้ยืมซึ่งมี ก. ลงชื่อในช่องผู้ให้กู้ โดยโจทก์ไม่ได้ลงชื่อ ศาลชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมิได้กู้ยืมเงินและรับเงินไปจากโจทก์ เป็นการวินิจฉัยโดยอาศัยพยานหลักฐานในสำนวนคดีที่โจทก์นำสืบนั่นเอง หาเป็นการวินิจฉัยนอกสำนวนไม่ ที่จำเลยนำสืบว่า จำเลยกู้ยืมเงินจาก ก. และศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยกู้ยืมเงินจาก ก. เป็นการนำสืบและวินิจฉัยเพื่อเป็นการให้เหตุผลหรืออธิบายว่าจำเลยไม่ได้กู้ยืมเงินและรับเงินไปจากโจทก์ จึงเป็นการนำสืบและวินิจฉัยอยู่ในกรอบของคำให้การที่ว่าจำเลยไม่ได้กู้ยืมเงินและรับเงินไปจากโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 53,028 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 40,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 10,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 18 ธันวาคม 2543 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง (วันที่ 25 ธันวาคม 2545) ต้องไม่เกิน 3,029 บาท กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 1,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์แทนจำเลยโดยกำหนดค่าทนายความให้ 600 บาท
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า การกู้ยืมเงินตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 จำเลยกู้ยืมเงินจากนางกมลกาณจน์ มิใช่โจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ส่วนการกู้ยืมเงินตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.๓ จำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์ พิพากษาให้จำเลยชำระเงินกู้ยืมแก่โจทก์ ๑๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยเฉพาะตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.๓ เท่านั้น ต่อมาจำเลยสละข้อต่อสู้ตามคำให้การที่ว่าหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเป็นเอกสารปลอม จึงคงเหลือข้อต่อสู้ตามคำให้การเพียงว่าจำเลยไม่เคยมีนิติสัมพันธ์และไม่เคยรู้จักโจทก์ จำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินและรับเงินจากโจทก์ตามฟ้องแต่อย่างใดเท่านั้น คำให้การของจำเลยที่เหลือหลังจากสละข้อต่อสู้บางข้อแล้วนั้น ยังคงเป็นคำให้การที่ปฏิเสธฟ้องของโจทก์รวมทั้งเหตุแห่งการปฏิเสธชัดแจ้งแล้ว เป็นคำให้การที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง และจำเลยมีสิทธินำพยานเข้าสืบตามคำให้การได้ว่าจำเลยไม่เคยมีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ ไม่เคยกู้และรับเงินไปจากโจทก์ คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้ยืมและรับเงินไปจากโจทก์ เมื่อจำเลยให้การว่าจำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินและรับเงินไปจากโจทก์ โจทก์มีภาระการพิสูจน์ โดยต้องนำสืบให้รับฟังได้ว่าจำเลยกู้ยืมเงินและรับเงินไปจากโจทก์ แต่ในการสืบพยานของโจทก์ โจทก์อ้างหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 เป็นพยานหลักฐาน ปรากฏว่าหนังสือสัญญากู้ยืมเงินทั้งสองฉบับดังกล่าวมีนางกมลกาญจน์ลงชื่อในช่องผู้ให้กู้ โจทก์เองมิได้ลงชื่อในช่องผู้ให้กู้หรือลงชื่อที่ใดในหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเลย การที่ศาลชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมิได้กู้ยืมเงินและรับเงินไปจากโจทก์ เป็นการวินิจฉัยแล้วรับฟังข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบนั่นเอง อันเป็นการวินิจฉัยและรับฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวน หาเป็นการวินิจฉัยและรับฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวนไม่ ส่วนที่จำเลยนำสืบเกินเลยไปจากคำให้การว่า จำเลยกู้ยืมเงินจากนางกมลกาญจน์และศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยกู้ยืมเงินจากนางกมลกาญจน์นั้น เป็นการนำสืบและวินิจฉัยเพื่อเป็นการให้เหตุผลหรืออธิบายว่าไม่ได้กู้ยืมเงินและรับเงินไปจากโจทก์ เป็นการนำสืบและวินิจฉัยอยู่ในกรอบของคำให้การที่ว่าจำเลยมิได้กู้ยืมเงินและรับเงินไปจากโจทก์ ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำให้การของจำเลยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยนำสืบดังที่นำสืบมาได้ และศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยนอกคำให้การนั้น เป็นคำวินิจฉัยที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว คำพิพากษาศาลฎีกาที่โจทก์อ้างมาในฎีกา รูปคดีไม่ตรงกับคดีนี้ นำมาเทียบเคียงกับคดีนี้ไม่ได้ ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ฎีกาของโจทก์ประการอื่นนอกจากที่วินิจฉัยมาแล้วเป็นรายละเอียดปลีกย่อย ไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ