คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2023/2553

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดหลายข้อหาในคดีที่มีข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน โดยโจทก์บรรยายฟ้องว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์และเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำหรือกรอกข้อความในบันทึกการจับกุม รับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงซึ่งมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นเท็จโดยบรรยายฟ้องรวมกันมาเป็นข้อเดียว มิได้แยกกระทงแต่อย่างใด อีกทั้งการกระทำตามฟ้อง แม้จำเลยทั้งสองจะกระทำการหลายอย่าง แต่ด้วยเจตนาเดียวกัน คือเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดและเป็นการกระทำต่อเนื่องกัน การกระทำของจำเลยทั้งสองตามฟ้องจึงเป็นกรรมเดียวกัน เมื่อความผิดตาม ป.อ. มาตรา 157 และมาตรา 162 มีอัตราโทษจำคุกเกินสามปีจึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 ทวิ และความผิดตาม ป.อ. มาตรา 295 และมาตรา 310 วรรคแรก เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวกับความผิดตาม ป.อ. มาตรา 157 และมาตรา 162 จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงไปด้วย
1/1

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 157, 162, 295, 310, 335, 391
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าศาลอุทธรณ์ภาค 2 ยกอุทธรณ์ของโจทก์ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 และมาตรา 310 วรรคแรก เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายจึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์นั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดหลายข้อหาในคดีที่มีข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน โดยโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าพนักงานตำรวจประจำสถานีตำรวจภูธรตำบลบางขนาก ร่วมกันกระทำความผิดกล่าวคือ ขณะโจทก์ขับรถจักรยานยนต์ไปตามถนน จำเลยทั้งสองซึ่งแต่งกายนอกเครื่องแบบและพกพาอาวุธปืนได้ร่วมกันข่มขืนใจโจทก์ โดยขับรถกระบะจอดขวางทางรถจักรยานยนต์ที่โจทก์ขับ จนโจทก์ต้องหยุดรถจักรยานยนต์กะทันหัน จำเลยทั้งสองลงจากรถ แล้วจำเลยที่ 1 กระชากกุญแจรถจักรยานยนต์ของโจทก์ไป จำเลยทั้งสองร่วมกันใส่กุญแจมือโจทก์โดยไม่แจ้งข้อหา ฉุดกระชากโจทก์ให้ขึ้นรถกระบะ ชกต่อยโจทก์หลายครั้ง ตรวจค้นร่างกายโจทก์ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย ลักเงินสดในตัวโจทก์ไป 1,200 บาท เมื่อถึงสถานีตำรวจก็ร่วมฉุดกระชากโจทก์ลงจากรถแล้วรุมเตะต่อยโจทก์และหน่วงเหนี่ยวกักขังโจทก์ทำให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และทำบันทึกจับกุมโดยข่มขืนใจให้โจทก์ลงชื่อรับสารภาพว่า โจทก์มียาเสพติดให้โทษ โจทก์กลัวจึงลงชื่อไป การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์และเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำหรือกรอกข้อความในบันทึกการจับกุม รับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงตามบันทึกจับกุม ซึ่งมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นเท็จ โดยบรรยายฟ้องรวมกันมาเป็นข้อเดียว มิได้แยกกระทงแต่อย่างใด อีกทั้งการกระทำตามฟ้อง แม้จำเลยทั้งสองจะกระทำการหลายอย่าง แต่ด้วยเจตนาเดียวกัน คือเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดและเป็นการกระทำต่อเนื่องกัน การกระทำของจำเลยทั้งสองตามฟ้องจึงเป็นกรรมเดียวกัน เมื่อความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมาตรา 162 มีอัตราโทษจำคุกเกินสามปี จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ และความผิดตามมาตรา 295 และ มาตรา 310 วรรคแรก เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวกับความผิดตามมาตรา 157 และมาตรา 162 จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงไปด้วย ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ยกอุทธรณ์ของโจทก์ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 และมาตรา 310 วรรคแรก ว่าต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าว…
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share