แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยตกลงจะขายข้าวโพดให้แก่ผู้เสียหายและผู้เสียหายได้จ่ายเงินค่าข้าวโพดให้จำเลยไปแล้ว แต่ครั้นผู้เสียหายจะไปรับมอบข้าวโพด จำเลยบอกว่าไม่ขายข้าวโพดให้ผู้เสียหายและไม่ยอมให้นำข้าวโพดไป ผู้เสียหายทวงเงินคืน จำเลยบอกว่าไม่มีเงินคืนให้เช่นนี้ เป็นเรื่องจำเลยตกลงจะขายข้าวโพดแล้วเปลี่ยนใจไม่ยอมขายให้ผู้เสียหาย ข้าวโพดที่จะขายมีอยู่จริงในขณะที่เจรจาตกลงซื้อขายกัน จึงเป็นกรณีที่จำเลยประพฤติผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้น จำเลยไม่มีความผิดฐานฉ้อโกงตามฟ้อง.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341และคืนเงินจำนวน 47,000 บาทให้ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง จำคุก 1 ปี ให้จำเลยคืนเงิน 47,000 บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า พยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังลงโทษจำเลยพิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า นายจำรัสจุลปะ ผู้เสียหายมีอาชีพค้าขายพืชไร่ ส่วนนายถนอม รอดวิจิตร จำเลยมีอาชีพทำไร่ข้าวโพด ภริยาผู้เสียหายกับภริยาจำเลยเป็นลูกพี่ลูกน้อกัน จำเลยเคยติดต่อค้าขายกับผู้เสียหายโดยจำเลยเอาข้าวโพดมาขายให้ผู้เสียหายมานานหลายปีแล้ว และจำเลยเคยกู้ยืมเงินผู้เสียหายมาใช้จ่ายเกี่ยวกับการทำไร่ข้าวโพด ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยกระทำความผิดดังที่โจทก์ฟ้องหรือไม่โจทก์มีผู้เสียหายเบิกความว่า จำเลยได้มาบอกขายข้าวโพดฝักซึ่งเมื่อสีแล้วจะได้ 2,000 ถัง เก็บอยู่ในยุ้งข้าวโพดของจำเลยในราคาถังละ 35 บาท เป็นเงิน 70,000 บาท ผู้เสียหายตกลงซื้อจำเลยขอเงินค่าข้าวโพดก่อนจำนวน 47,000 บาท ผู้เสียหายได้จ่ายเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่จำเลยไปแล้ว วันรุ่งขึ้นผู้เสียหายพาลูกน้องพร้อมกับนำเครื่องสีข้าวโพดไปที่บ้านจำเลย ไม่พบจำเลย ข้าวโพดได้หายไปจากเดิมเกือบครึ่งหนึ่ง ภริยาจำเลยบอกว่าจำเลยออกจากบ้านไปตั้งแต่เมื่อวานไม่ทราบว่าไปไหน และบอกว่าไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับการซื้อขายข้าวโพด กับไม่ยอมให้โจทก์สีข้าวโพด ครั้นเวลา 10 นาฬิกาผู้เสียหายได้พบกับจำเลย จำเลยบอกว่าไม่ขายข้าวโพดให้ผู้เสียหายและไม่ยอมให้นำข้าวโพดไป ผู้เสียหายทวงเงินคืน จำเลยบอกว่าไม่มีเงินให้ ผู้เสียหายจึงไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอแก่งคอย ศาลฎีกาเห็นว่า ถึงแม้ข้อเท็จจริงจะเป็นดังที่ผู้เสียหายเบิกความ แต่ก็เป็นเรื่องที่จำเลยตกลงจะขายข้าวโพดให้ผู้เสียหายแล้วเปลี่ยนใจไม่ยอมขายให้ ข้าวโพดที่จะขายก็มีอยู่จริงในขณะที่เจรจาตกลงซื้อขายกัน แม้จำเลยจะรับเงินค่าขายข้าวโพดบางส่วนจากผู้เสียหายไปล่วงหน้า และไม่ยอมคืนให้ผู้เสียหายเมื่อผู้เสียหายได้ขอคืนแล้วก็ตาม แต่เรื่องทั้งหมดก็เป็นกรณีที่จำเลยประพฤติผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้น ประกอบกับผู้เสียหายกับจำเลยก็ติดต่อซื้อขายข้าวโพดกันมาเป็นเวลานาน ทั้งภริยาของคนทั้งสองก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกันด้วย เห็นว่า รูปคดีไม่ปรากฏว่ามีมูลความผิดฐานฉ้อโกงดังที่โจทก์ฟ้องแต่ประการใด
พิพากษายืน.