คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3784/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยตกลงจะขายข้าวโพดให้ผู้เสียหาย โดยผู้เสียหายจ่ายเงินค่าข้าวโพดให้จำเลยล่วงหน้าบางส่วน ครั้นผู้เสียหายไปขอรับมอบข้าวโพด ปรากฏว่าข้าวโพดได้หายไปจากเดิมเกือบครึ่งหนึ่ง จำเลยบอกว่าไม่ขายข้าวโพดให้ผู้เสียหายและไม่ยอมให้นำข้าวโพดไป ผู้เสียหายทวงเงินคืน จำเลยบอกว่าไม่มีเงินคืนให้ เช่นนี้ เป็นเรื่องที่จำเลยตกลงจะขายข้าวโพดให้ผู้เสียหายแล้วเปลี่ยนใจไม่ยอมขายให้ข้าวโพดที่จะขายมีอยู่จริงในขณะเจรจาตกลงซื้อขายกันจึงเป็นกรณีที่จำเลยประพฤติผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้นไม่มีความผิดฐานฉ้อโกง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 และคืนเงินจำนวน 47,000 บาทให้ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา341ให้จำคุก 1 ปี ให้จำเลยคืนเงินจำนวน 47,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า นายจำรัสจุลปะ ผู้เสียหายมีอาชีพค้าขายพืชไร่ ส่วนนายถนอม รอดวิจิตรจำเลย มีอาชีพทำไร่ข้าวโพด ภริยาผู้เสียหายกับภริยาจำเลยเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน จำเลยเคยติดต่อค้าขายกับผู้เสียหายโดยจำเลยเอาข้าวโพดมาขายให้ผู้เสียหายมานานหลายปีแล้ว และจำเลยเคยกู้ยืมเงินผู้เสียหายมาใช้จ่ายเกี่ยวกับการทำไร่ข้าวโพด ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยกระทำความผิดดังที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเบิกความว่า จำเลยได้มาบอกขายข้าวโพดฝักซึ่งเมื่อสีแล้วจะได้ 2,000 ถัง เก็บอยู่ในยุ้งข้าวโพดของจำเลยในราคาถังละ 35 บาท เป็นเงิน 70,000 บาท ผู้เสียหายตกลงซื้อจำเลยขอเงินค่าข้าวโพดก่อนจำนวน 47,000 บาท ผู้เสียหายได้จ่ายเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่จำเลยไปแล้ว วันรุ่งขึ้นผู้เสียหายพาลูกน้องพร้อมกับนำเครื่องสีข้าวโพดไปที่บ้านจำเลย ไม่พบจำเลยข้าวโพดได้หายไปจากเดิมเกือบครึ่งหนึ่ง ภริยาจำเลยบอกว่าจำเลยออกจากบ้านไปตั้งแต่เมื่อวานไม่ทราบว่าไปไหน และบอกว่าไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับการซื้อขายข้าวโพด กับไม่ยอมให้โจทก์สีข้าวโพด ครั้นเวลา 10 นาฬิกาผู้เสียหายได้พบกับจำเลย จำเลยบอกว่าไม่ขายข้าวโพดให้ผู้เสียหายและไม่ยอมให้นำข้าวโพดไป ผู้เสียหายทวงเงินคืน จำเลยบอกว่าไม่มีเงินให้ ผู้เสียหายจึงไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอแก่งคอย ศาลฎีกาเห็นว่าถึงแม้ข้อเท็จจริงจะเป็นดังที่ผู้เสียหายเบิกความ แต่ก็เป็นเรื่องที่จำเลยตกลงจะขายข้าวโพดให้ผู้เสียหายแล้วเปลี่ยนใจไม่ยอมขายให้ ข้าวโพดที่จะขายก็มีอยู่จริงในขณะที่เจรจาตกลงซื้อขายกัน แม้จำเลยจะรับเงินค่าขายข้าวโพดบางส่วนจากผู้เสียหายไปล่วงหน้าและไม่ยอมคืนให้ผู้เสียหายเมื่อผู้เสียหายได้ขอคืนแล้วก็ตาม แต่เรื่องทั้งหมดก็เป็นกรณีที่จำเลยประพฤติผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้น ประกอบกับผู้เสียหายกับจำเลยก็ติดต่อซื้อขายข้าวโพดกันมาเป็นเวลานาน ทั้งภริยาของคนทั้งสองก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกันด้วย เห็นว่ารูปคดีไม่ปรากฏว่ามีมูลความผิดฐานฉ้อโกงดังที่โจทก์ฟ้อง…”พิพากษายืน

Share