คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3781/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาลและศาลได้พิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้ว แม้จำเลยที่ 3 เป็นผู้เยาว์ แต่ก็เป็นคู่ความในคดีอยู่แล้วโดยมีผู้เทนโดยชอบธรรม คำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความมีผลผูกพันจำเลยที่ 3 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามขอให้พิพากษาว่าที่ดินของจำเลยที่ ๓ เป็นทางภาระจำยอมของที่ดินของโจทก์ที่ ๒ และโจทก์ที่ ๓ และที่ดินของจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ เป็นทางภาระจำยอมของที่ดินของโจทก์ที่ ๒ และโจทก์ที่ ๓ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันออกค่าใช้จ่ายทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและสิ่งกีดขวางบนทางภาระจำยอมและปรับถนนทางภาระจำยอมให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยที่รถสามารถวิ่งเข้าออกได้กับให้นำโฉนดที่ดินของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ไปจดทะเบียนภาระจำยอมและให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การต่อสู้คดีและขอให้ยกฟ้องโจทก์
ต่อมาวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๒๙ โจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสามทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลว่า ข้อ ๑. จำเลยตกลงยกที่ดินให้กับเทศบาลตามแนวถนนที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยมีแนวถนนกว้าง ๕ เมตร ยาวจากปากทางเข้าด้านถนนสุขประยูรไปจดปากประตูโรงหมี่ซึ่งอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๐๐๗ และ ๘๐๐๘ ตามลำดับ ข้อ ๒. ถ้าหากการยกให้มีปัญหาเรื่องเกี่ยวกับความกว้างของถนน โจทก์ก็ยอมให้ขยายถนนด้านที่ติดกับที่ดินของโจทก์ไปอีก ๑ เมตร ตลอดแนวที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ ๗๓๖๑ และโฉนดเลขที่ ๘๗๓๓ และทางฝ่ายจำเลยก็ยอมขยายแนวถนนด้านทางเข้าถนนสุขประยูรให้อีก ๑ เมตร ตลอดแนวถนนในโฉนดที่ดิน ๘๐๐๗ เช่นกัน โดยฝ่ายโจทก์ตกลงจะชดใช้ค่าที่ดินในส่วนนี้ให้จำเลยอีก ๒๐,๐๐๐ บาท โดยฝ่ายโจทก์ที่ ๒ และที่ ๓ เป็นผู้ออกคนละ ๑๐,๐๐๐ บาท โดยจะจ่ายให้เมื่อเทศบาลมาทำทาง ๑๐,๐๐๐ บาท และจ่ายเมื่อทำทางเสร็จแล้วอีก ๑๐,๐๐๐ บาท ข้อ ๓ จำเลยตกลงจะรื้อถอนรั้วสังกะสีตลอดแนวจากศาลเจ้าที่ถึงประตูโรงหมี่ และไปติดต่อดำเนินการกับเทศบาลภายใน ๑ เดือน นับแต่วันนี้ และถ้าหากพ้นจากนี้ไปแล้ว โจทก์ก็มีสิทธิดำเนินการรื้อถอนรั้วสังกะสีและไปติดต่อด้วยตนเองได้ และถ้าหากจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการโอนที่ดินให้เทศบาลตามกฎหมาย โจทก์และจำเลยตกลงจะเสียฝ่ายละครึ่งและโจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยรื้อตึกแถวที่มีอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าขนาดของทางจะกว้างไม่ถึง ๕ เมตร ก็ตาม
ศาลชั้นต้นได้พิพากษาคดีไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นแล้ว
ภายหลังจำเลยยังมิได้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความโจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกจำเลยมาสอบถาม ต่อมาวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๓๐ จำเลยที่ ๓ โดยนายมนตรี รตโนภาส จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ไม่ได้แสดงเจตนาทำสัญญาประนีประนอมยอมความยกที่ดินบางส่วนของจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นผู้เยาว์ให้กับทางเทศบาลเมืองฉะเชิงเทราเป็นทางสาธารณประโยชน์แทนจำเลยที่ ๓ เพราะจำเลยทั้งสองไม่มีอำนาจจะทำเช่นนั้นได้ เนื่องจากขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๗๔ สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวจึงไม่มีผลผูกพันต่อจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นผู้เยาว์การทำสัญญาดังกล่าวจะต้องได้รับอนุญาตโดยการไต่สวนคำร้องและมีคำสั่งก่อนขอให้มีคำสั่งว่าสัญญาประนีประนอมยอมความลงวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๒๙ และคำพิพากษาตามยอมไม่มีผลบังคับจำเลยที่ ๓
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เนื่องจากสัญญายอมดังกล่าวศาลได้มีคำพิพากษาตามยอมแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะต้องไต่สวนอีก ให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นว่าจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นผู้เยาว์โดยมีจำเลยที่ ๑ เป็นผู้แทนโดยชอบธรรมเป็นคู่ความในคดีนี้ ดังนั้นคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีนี้จึงผูกพันจำเลยที่ ๓ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๕ แม้จำเลยที่ ๓ จะเป็นผู้เยาว์ก็ตาม ทั้งคำพิพากษาดังกล่าวก็ถึงที่สุดแล้วเนื่องจากไม่มีผู้ใดอุทธรณ์คัดค้าน จำเลยที่ ๓ ไม่อาจยื่นคำร้องเช่นนี้ได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้วฎีกาจำเลยที่ ๓ ฟังไม่ขึ้น คำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยที่ ๓ อ้างข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้
พิพากษายืน

Share