แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้จำเลยจะเป็นผู้เก็บวัตถุระเบิดของกลางมา แต่จำเลยก็ไม่ทราบว่าเป็นวัตถุระเบิด เพิ่งทราบเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจที่ตรวจค้นบอก จำเลยจึงไม่มีเจตนาที่จะกระทำผิดฐานมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามที่โจทก์ฟ้อง.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 38, 74 คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 9 และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 38 ประกอบด้วยมาตรา 74 คำสั่งคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 9 พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่า วัตถุระเบิดของกลางที่อยู่ในครอบครองของจำเลยมีจำนวนเพียงเล็กน้อยทั้งยังปรากฏตามทางนำสืบของโจทก์ว่าจำเลยเก็บวัตถุระเบิดของกลางได้ มิใช่จำเลยจัดหามาโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการกระทำผิดกฎหมายแต่อย่างใด จำเลยอาจกระทำลงไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จึงเห็นควรลงโทษจำเลยสถานเบาโดยให้ลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 1 ปี คำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 เดือนของกลางริบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ส่วนของกลางเป็นของที่มีไว้เป็นความผิดจึงให้ริบ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2533 เวลา 14.40 นาฬิกาจ่าสิบตำรวจทวีป จันทร์เจริญ สิบตำรวจเอกวิทูรย์ จันทะลองเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองน่าน กับพวกรวมประมาณ10 คน นำหมายค้นของสารวัตรใหญ่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองน่านไปทำการตรวจค้นบ้านเลขที่ 23 หมู่ที่ 6 ตำบลกองควาย อำเภอเมืองน่านจังหวัดน่าน ซึ่งเป็นบ้านของนายเชาว์ อินวงศ์ษา กับจำเลย ไม่พบนายเชาว์ คงพบแต่จำเลย เจ้าพนักงานตำรวจดังกล่าวทำการตรวจค้นบ้านพบวัตถุระเบิดชนิดทีเอ็นทีจำนวน 1 แท่ง อยู่ในห้องนอนของบ้านดังกล่าวและจับกุมจำเลยดำเนินคดีข้อหามีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกามีว่า จำเลยกระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ โจทก์มีจ่าสิบตำรวจทวีป จันทร์เจริญ และสิบตำรวจเอกวิทูรย์ จันทะลอง เป็นพยานเบิกความว่า ในวันเกิดเหตุเวลา 14.40 นาฬิกา พยานทั้งสองกับพวกร่วมกันตรวจค้นบ้านเลขที่23 หมู่ที่ 6 ตำบลกองควาย อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่านซึ่งเป็นบ้านของนายเชาว์ อินวงศ์ษา สามีจำเลย เพราะสงสัยว่าจะมีของผิดกฎหมายเมื่อไปถึงบ้านดังกล่าวไม่พบนายเชาว์คงพบแต่จำเลยซึ่งยินยอมให้ค้นโดยดี การตรวจค้นได้พบวัตถุระเบิดทีเอ็นที จำนวน 1 แท่งเป็นแท่งกลมยาวประมาณ 2 นิ้ว อยู่ในห้องนอนบ้านดังกล่าว เห็นว่าจากคำเบิกความของจ่าสิบตำรวจทวีปและสิบตำรวจเอกวิทูรย์ตอบทนายจำเลยถามค้านตรงกันว่าที่ไปค้นบ้านดังกล่าว เพราะสงสัยว่านายเชาว์เป็นคนร้ายลักทรัพย์ในท้องที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอนาน้อย นอกจากนี้สิบตำรวจเอกวิทูรย์ จันทะลอง ได้เบิกความว่า เมื่อถามว่าวัตถุระเบิดดังกล่าวเป็นของใคร จำเลยตอบว่าเก็บวัตถุระเบิดดังกล่าวมาจากริมแม่น้ำน่าน ในชั้นสอบสวนจำเลยให้การต่อพนักงานสอบสวนไว้ชัดเจนว่าเมื่อกลับจากทำสวนได้พบดินระเบิดดังกล่าวที่ฝั่งน้ำบ้านคอวังตำบลกองควาย จึงเก็บมาไว้ที่บ้านโดยไม่ทราบว่าดินระเบิดดังกล่าวเป็นสิ่งของที่ผิดกฎหมาย ดังปรากฏตามบันทึกการสอบสวนลงวันที่ 18มกราคม 2533 เอกสารหมาย จ.3 ร้อยตำรวจเอกวิทยา อุตบุรี พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองน่าน เบิกความว่า ระเบิดของกลางนายทะเบียนสามารถออกใบอนุญาตให้ได้ ส่วนใหญ่แล้วจะใช้ระเบิดชนิดนี้ระเบิดหิน พันตำรวจโทถาวร พลอยเลื่อมแสง รับราชการกองกำกับการวิทยาการ ผู้ตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิดของกลางคดีนี้ก็เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า กล่องวัตถุระเบิดของกลางดังกล่าวหากคนธรรมดาซึ่งไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องระเบิด เห็นกล่องดังกล่าวจะไม่รู้ว่าเป็นระเบิดทีเอ็นที จำเลยเองก็นำสืบไว้ชัดว่า เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจพบของกลางที่ข้างฝาบ้าน ได้สอบถามจำเลยว่ารู้จักไหม จำเลยตอบว่าไม่รู้จัก เจ้าพนักงานตำรวจจึงบอกว่าเป็นวัตถุระเบิดและที่ให้การรับในชั้นสอบสวนก็รับเพียงว่าของกลางอยู่ในบ้านจริง แต่ไม่ทราบว่าเป็นวัตถุระเบิด และของกลางมิได้เป็นของตนเช่นนี้ จึงเห็นได้ว่าแม้จำเลยจะเก็บวัตถุระเบิดของกลางมาแต่จำเลยเองก็ไม่ทราบว่าเป็นวัตถุระเบิด เพิ่งทราบเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจที่ตรวจค้นบอก จำเลยจึงไม่มีเจตนาที่จะกระทำผิดฐานมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามที่โจทก์ฟ้องที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาว่า จำเลยไม่มีความผิด ให้ยกฟ้องนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.