แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนธันวาคม 2548 โจทก์สั่งซื้อสินค้าเป็นกล่องใส่ซีดีทำด้วยดีบุก จำนวน 5,000,000 ใบราคา 1,470,432 ดอลลาร์สหรัฐ และของเล่นเป็นรถไฟฟ้าทำด้วยไม้ระบบโซนิค จำนวน 5,501,500 ชิ้น ราคา 1,603,429 ดอลลาร์สหรัฐ จากจำเลยที่ 1 โดยโจทก์ชำระเงินมัดจำร้อยละ 20 ของราคาสินค้าในแต่ละประเภทให้แก่จำเลยที่ 1 แล้ว ด้วยการโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคาร แต่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาไม่ส่งมอบสินค้าทั้งสองประเภทและไม่คืนเงินมัดจำ จึงเป็นการผิดสัญญาต้องคืนเงินและชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น แม้ในการติดต่อซื้อขายสินค้ากับโจทก์ โจทก์ติดต่อผ่านจำเลยที่ 2 โดยการส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ซึ่งข้อความดังกล่าวไม่ได้อ้างถึงจำเลยที่ 1 แต่ข้อความดังกล่าวจำเลยที่ 2 เขียนเพื่อแจ้งรายละเอียดของวันเวลาตามแผนงานการผลิตกล่องใส่ซีดีตั้งแต่วันเริ่มออกแบบจนถึงวันที่จัดส่งสินค้าเสร็จสิ้น และแจ้งราคาค่าเครื่องมือสำหรับผลิตกล่องใส่ซีดีและรถไฟไม้ให้โจทก์ทราบ รวมถึงการนัดหมายเชื้อเชิญให้โจทก์มาเยี่ยมชมโรงงาน ซึ่งล้วนเกี่ยวพันกับสินค้าที่โจทก์สั่งซื้อจากจำเลยที่ 1 ทั้งสิ้น ไม่ปรากฏข้อความตอนใดที่แสดงว่าจำเลยที่ 2 กระทำไปในฐานะส่วนตัว อีกทั้งหลักฐานการโอนเงินก็เป็นชื่อบัญชีของจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับเงินแต่ผู้เดียว มิใช่จำเลยที่ 2 ประกอบกับการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 นิติบุคคลย่อมจะต้องกระทำโดยผ่านจำเลยที่ 2 ที่เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน พยานหลักฐานของโจทก์จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ทำสัญญาซื้อขายสินค้าที่พิพาทกับโจทก์ในฐานะส่วนตัว จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ส่วนที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดเพราะกระทำละเมิดแอบอ้างชื่อจำเลยที่ 1 หลอกลวงโจทก์ นั้น ปรากฏว่าโจทก์บรรยายฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองรับผิดตามมูลหนี้สัญญาซื้อขาย โดยไม่ได้บรรยายว่าจำเลยที่ 2 กระทำละเมิด ข้ออ้างดังกล่าวถือเป็นข้อที่ไม่ได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลทรัพย์สินฯ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินฯ มาตรา 45 ประกอบ ป.วิ.พ.มาตรา 225 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสอง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 972,007.42 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 610,400.86 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 289,715.06 ดอลลาร์สหรัฐ นับแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2548 และของต้นเงินจำนวน 320,685.80 ดอลลาร์สหรัฐ นับแต่วันที่ 6 กันยายน 2548 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องต้องไม่เกินจำนวน 29,289 ดอลลาร์สหรัฐ และจำนวน 30,245.50 ดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับตามคำฟ้อง ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 30,000 บาท ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นนี้ฟังได้ว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 เมื่อระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนธันวาคม 2548 โจทก์สั่งซื้อสินค้าเป็นกล่องใส่ซีดีทำด้วยดีบุก จำนวน 5,000,000 ใบ ราคา 1,470,432 ดอลลาร์สหรัฐ และของเล่นเป็นรถไฟทำด้วยไม้ระบบโซนิค จำนวน 5,501,500 ชิ้น ราคา 1,603,429 ดอลลาร์สหรัฐ จากจำเลยที่ 1 โดยโจทก์ชำระเงินมัดจำร้อยละ 20 ของราคาสินค้าในแต่ละประเภทให้แก่จำเลยที่ 1 แล้วด้วยการโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารตามสำเนาใบโอนเงิน แต่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาไม่ส่งมอบสินค้าทั้งสองประเภทและไม่คืนเงินมัดจำให้แก่โจทก์ คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการแรกว่า จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วยหรือไม่ โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 2 ติดต่อซื้อขายสินค้ากับโจทก์ในฐานะส่วนตัว และยังเป็นการกระทำละเมิดโดยแอบอ้างชื่อจำเลยที่ 1 หลอกลวงให้โจทก์โอนเงินให้นั้น เห็นว่า แม้โจทก์จะนำสืบอ้างว่าการติดต่อซื้อขายสินค้าทั้งหมดกระทำผ่านจำเลยที่ 2 และนายธวัช ผู้รับมอบอำนาจโจทก์เบิกความตอบคำถามของทนายจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 เคยส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ถึงโจทก์ โดยข้อความดังกล่าวไม่ได้อ้างถึงชื่อจำเลยที่ 1 ก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาข้อความดังกล่าวแล้วกลับพบว่า จำเลยที่ 2 เขียนข้อความดังกล่าวขึ้นเพื่อแจ้งรายละเอียดของวันเวลาตามแผนงานการผลิตกล่องใส่ซีดี ตั้งแต่วันเริ่มออกแบบสินค้าไปจนถึงวันที่จัดส่งสินค้าดังกล่าวเสร็จสิ้น และแจ้งราคาค่าเครื่องมือสำหรับผลิตกล่องใส่ซีดีและรถไฟไม้ให้โจทก์ทราบ รวมถึงการนัดหมายเชื้อเชิญโจทก์ให้มาเยี่ยมชมโรงงานผู้ผลิตสินค้าดังกล่าว ซึ่งข้อความเหล่านี้ล้วนเกี่ยวพันกับสินค้าที่โจทก์สั่งซื้อจากจำเลยที่ 1 ทั้งสิ้น โดยเฉพาะการเชื้อเชิญให้โจทก์มาเยี่ยมชมโรงงานผู้ผลิตสินค้าในประเทศไทย ก็ยังระบุว่าจำเลยที่ 1 จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเดินทางและค่าที่พักเอง ไม่ปรากฏข้อความตอนใดที่แสดงว่าจำเลยที่ 2 กระทำไปในฐานะส่วนตัวดังที่พยานโจทก์เบิกความ ส่วนจำเลยที่ 2 มีนายกมล ทนายจำเลยเบิกความเป็นพยานว่า ในการซื้อขายสินค้าดังกล่าวมีการออกใบกำกับสินค้า (Invoice) ให้แก่โจทก์ โดยระบุผู้ออกคือจำเลยที่ 1 และเงินมัดจำที่โจทก์โอนผ่านธนาคารมาให้ก็เป็นการโอนเข้าบัญชีของจำเลยที่ 1 ตามสำเนาใบโอนเงิน ซึ่งตามหลักฐานการโอนเงินมัดจำผ่านธนาคารของโจทก์ดังกล่าวปรากฏชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับเงินแต่เพียงผู้เดียว ทั้งเลขที่บัญชีเงินฝากของผู้รับเงินที่ปรากฏในใบโอนเงินดังกล่าว คือ บัญชีเลขที่ 0/550129/019 ก็ตรงกับสำเนาบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน ที่มีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของบัญชี มิใช่จำเลยที่ 2 ประกอบกับการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคล ย่อมจะต้องกระทำโดยผ่านจำเลยที่ 2 ที่เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน พยานหลักฐานของจำเลยที่ 2 จึงมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 ทำสัญญาซื้อขายสินค้าที่พิพาทกับโจทก์ในฐานะส่วนตัว ส่วนที่โจทก์อ้างว่า จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดเพราะกระทำละเมิดแอบอ้างชื่อจำเลยที่ 1 หลอกลวงโจทก์นั้น คำฟ้องของโจทก์ขอบังคับให้จำเลยทั้งสองรับผิดตามมูลหนี้สัญญาซื้อขาย โจทก์ไม่ได้บรรยายให้เห็นว่า จำเลยที่ 2 กระทำละเมิดต่อโจทก์อันเป็นนิติเหตุด้วยแต่อย่างใด ดังนี้ แม้ในชั้นพิจารณาโจทก์จะนำสืบว่า การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการละเมิดต่อสิทธิของโจทก์ ข้อนำสืบของโจทก์ที่ว่านั้นก็เป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น ถือเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 45 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง แม้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางรับอุทธรณ์ของโจทก์ในส่วนนี้มาด้วย ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศก็ไม่รับวินิจฉัยให้ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้เพียงว่า จำเลยที่ 2 ทำสัญญาซื้อขายสินค้าพิพาทกับโจทก์ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 นั้น ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ