แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไม่มีกำหนดระยะเวลาการก่อสร้างแล้วเสร็จไว้ แต่จำเลยผู้จะขายจะต้องก่อสร้างบ้านให้แล้วเสร็จสมบูรณ์พร้อมโอนกรรมสิทธิ์ภายในเวลาอันสมควร เมื่อนับจากวันที่ทำสัญญาจนถึงวันที่โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาเป็นเวลาประมาณ 3 ปี 5 เดือน และจำเลยรับเงินที่โจทก์ผ่อนชำระตามสัญญาไปครบถ้วนเป็นเวลาประมาณ 2 ปี 3 เดือน แต่จำเลยยังมิได้ลงมือก่อสร้างบ้านเลย ถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาจะซื้อจะขาย เป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้
เหตุที่จำเลยสร้างบ้านให้แก่โจทก์ไม่ได้เป็นเพราะบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ผิดสัญญากับจำเลยโดยไม่ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่จำเลยตามสัญญา เป็นเรื่องระหว่างจำเลยกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์โดยเฉพาะ ไม่ใช่เหตุที่จะยกขึ้นมากล่าวอ้างว่าจำเลยไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาต่อโจทก์ได้
โจทก์ไม่ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกสัญญาแก่จำเลย แต่เมื่อโจทก์เบิกความยืนยันว่าโจทก์ได้มอบหมายให้ทนายความแจ้งให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญา หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเป็นการบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยแล้ว ย่อมถือได้ว่าโจทก์ได้มอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยโดยชอบแล้ว
จำเลยจดทะเบียนสำนักงานแห่งใหญ่ของบริษัทจำเลยอยู่แห่งหนึ่ง แต่ตามใบเสร็จรับเงินชั่วคราวที่จำเลยออกให้โจทก์ได้ระบุที่ตั้งที่ทำการจำเลยอยู่อีกแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักงานโครงการจำเลย ถือได้ว่าจำเลยมีที่ตั้งที่ทำการหลายแห่ง และที่ตั้งสำนักงานโครงการจำเลยถือเป็นภูมิลำเนาของจำเลยในส่วนกิจการอันได้กระทำ ณ ที่นั้นด้วย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 69 โจทก์ส่งหนังสือบอกเลิกสัญญาไปยังสำนักงานโครงการซึ่งเป็นภูมิลำเนาอีกแห่งหนึ่งได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายบ้านพร้อมที่ดินอันเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 3141 เนื้อที่ 24 ตารางวา จากจำเลย โจทก์ชำระราคาให้จำเลยไปแล้วเป็นเงิน 476,000 บาท แต่จำเลยไม่ปลูกสร้างอาคารและไม่จัดสร้างสาธารณูปโภคตามข้อตกลง โจทก์ทวงถามให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย โจทก์จึงบอกเลิกสัญญา ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินแก่โจทก์ 648,550 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 476,000 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้ผิดสัญญา เพราะตามสัญญาจะซื้อจะขายมีข้อตกลงว่าจำเลยจะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ซื้อขายให้โจทก์เมื่อการก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์พร้อมทั้งได้รับชำระเงินส่วนที่เหลือเรียบร้อยแล้ว โดยจำเลยจะแจ้งโจทก์ให้มารับโอนภายใน 15 วัน ดังนั้นจำเลยจึงไม่ต้องคืนเงินให้โจทก์ โจทก์ไม่เคยมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยก่อสร้างอาคารและบอกเลิกสัญญา จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ 476,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2540 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 3,000 บาท แทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2539 โจทก์ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเนื้อที่ 24 ตารางวา กับจำเลย โดยโจทก์ผู้จะซื้อชำระเงินค่าที่ดินและบ้านในวันทำสัญญา 55,000 บาท ชำระเงินค่าวัสดุก่อสร้าง 18,000 บาท และชำระค่างวดจนครบถ้วนทั้ง 14 งวด เป็นเงิน 403,000 บาท โดยชำระงวดสุดท้ายเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2540 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 476,000 บาท ให้จำเลยผู้จะขายแล้ว แต่จำเลยไม่ก่อสร้างบ้านให้โจทก์ คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาหรือไม่ จำเลยอ้างว่าจำเลยไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา เพราะสัญญาจะซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามเอกสารหมาย จ.2 ข้อ 4 ระบุว่าจำเลยตกลงโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์เมื่อการก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์และได้รับชำระเงินส่วนที่เหลือเรียบร้อยแล้ว ที่จำเลยยังสร้างบ้านให้โจทก์ไม่ได้เพราะบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เอกชาติ จำกัด (มหาชน) ไม่ยอมให้จำเลยนำโฉนดที่ดินไปจัดสรรและไม่ได้ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่จำเลยเพื่อดำเนินการตามโครงการนี้ต่อไป จำเลยจึงไม่สามารถสร้างบ้านให้โจทก์ได้ และยังถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา เห็นว่า แม้สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามเอกสารหมาย จ.2 จะไม่มีกำหนดระยะเวลาการก่อสร้างแล้วเสร็จไว้ก็ตาม แต่ก็เป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยผู้จะขายจะต้องดำเนินการก่อสร้างบ้านให้แก่โจทก์ตามสัญญาจะซื้อจะขายให้แล้วเสร็จสมบูรณ์พร้อมโอนกรรมสิทธิ์ภายในเวลาอันสมควร แต่กลับได้ความจากนางพรพรรณ คลังมี ผู้รับมอบอำนาจจำเลยว่า จำเลยยังไม่ได้ก่อสร้างบ้านให้แก่โจทก์ ซึ่งเมื่อนับจากวันที่ทำสัญญาจนถึงวันที่โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาเป็นเวลาประมาณ 3 ปี 5 เดือน และจำเลยรับเงินที่โจทก์ผ่อนชำระตามสัญญาไปครบถ้วนเป็นเวลาประมาณ 2 ปี 3 เดือน แต่จำเลยไม่ได้ปฏิบัติการชำระหนี้ตามสัญญา โดยยังมิได้ลงมือก่อสร้างบ้านให้แก่โจทก์เลย กรณีเช่นนี้ถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาจะซื้อจะขาย เป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยได้ ส่วนที่จำเลยฎีกาอ้างว่าเหตุที่จำเลยสร้างบ้านให้แก่โจทก์ไม่ได้เป็นเพราะบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เอกชาติ จำกัด (มหาชน) ผิดสัญญากับจำเลยโดยไม่ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่จำเลยตามสัญญานั้น ก็เป็นเรื่องระหว่างจำเลยกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เอกชาติ จำกัด (มหาชน) โดยเฉพาะไม่ใช่เหตุที่จะยกขึ้นมากล่าวอ้างว่าจำเลยไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาต่อโจทก์ได้ เมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาแก่จำเลยแล้ว โจทก์และจำเลยต้องกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงมีสิทธิเรียกให้จำเลยคืนเงินที่ได้ชำระไปแล้วพร้อมดอกเบี้ย ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้มอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยและหนังสือบอกเลิกสัญญาส่งไปที่สำนักงานโครงการจำเลย มิได้ส่งไปที่สำนักงานแห่งใหญ่ที่จดทะเบียนไว้ตามหนังสือรับรองเอกสารหมาย จ.1 เป็นการไม่ชอบ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า แม้โจทก์จะไม่ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกสัญญาแก่จำเลย แต่เมื่อโจทก์เบิกความยืนยันว่าโจทก์ได้มอบหมายให้ทนายความแจ้งให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญา หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเป็นการบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยแล้ว ย่อมถือได้ว่าโจทก์ได้มอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยโดยชอบแล้ว ส่วนที่โจทก์ส่งหนังสือบอกเลิกสัญญาไปที่สำนักงานโครงการจำเลยนั้น เห็นว่า แม้จำเลยจะจดทะเบียนสำนักงานแห่งใหญ่อยู่แห่งหนึ่ง แต่ตามใบเสร็จรับเงินชั่วคราวเอกสารหมาย จ.3 แผ่นสุดท้ายที่จำเลยออกให้โจทก์ได้ระบุที่ตั้งที่ทำการจำเลยอยู่อีกแห่งหนึ่ง ซึ่งนางพรพรรณ คลังมี ผู้รับมอบอำนาจจำเลยเบิกความว่าที่อยู่ดังกล่าวเป็นที่ตั้งสำนักงานโครงการจำเลย เมื่อหนังสือบอกเลิกสัญญาที่โจทก์ส่งให้แก่จำเลย ณ ที่อยู่ดังกล่าวซึ่งตามใบตอบรับไปรษณีย์เอกสารหมาย จ.5 ระบุว่าผู้รับแทนเป็นพนักงานของจำเลย ดังนี้ย่อมถือได้ว่า จำเลยมีที่ตั้งที่ทำการหลายแห่ง และที่ตั้งสำนักงานโครงการจำเลยถือเป็นภูมิลำเนาของจำเลยในส่วนกิจการอันได้กระทำ ณ ที่นั้นด้วย ตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 69 โจทก์ส่งหนังสือบอกเลิกสัญญาไปยังสำนักงานโครงการซึ่งเป็นภูมิลำเนาอีกแห่งหนึ่งนั้นจึงชอบแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 8,000 บาท แทนโจทก์.