คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3776/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาและออกคำบังคับให้จำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาท และศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้จำเลยทุเลาการบังคับในระหว่างอุทธรณ์ จำเลยจะต้องรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างออกไปตามคำบังคับ ซึ่งจะเป็นผลเสียหายแก่ผู้ร้องหากผู้ร้องเป็นเจ้าของบ้านและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว ดังนี้ผู้ร้องจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีนี้ และถูกโต้แย้งสิทธิจึงชอบที่จะร้องเข้ามาในชั้นบังคับคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57(1)ได้ โดยไม่ต้องรอให้มีการบังคับคดีเสียก่อน เนื่องจากโจทก์ย่อมขอให้ศาลตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างได้ทันทีตามมาตรา 296 ทวิ.

ย่อยาว

คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์ ห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไปและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจำเลยและบริวารจะรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์
ผู้ร้องยื่นคำร้องสอดอ้างว่า ผู้ร้องเป็นมารดาจำเลย และเป็นยายโจทก์ทั้งสามที่ดินแปลงพิพาทเป็นของผู้ร้อง โดยได้รับมรดกจากนายชื่น นางเหลือ โพธิ์น้อย บิดามารดาผู้ร้อง เมื่อประมาณปีพ.ศ. 2467 ก่อนผู้ร้องสมรสกับนายฉ่ำ หนูผึ้ง ขณะนั้นที่ดินดังกล่าวยังเป็นที่ดินมือเปล่า ต่อมาผู้ร้องยินยอมให้นายฉ่ำมีชื่อในโฉนดแทนผู้ร้องเมื่อปี พ.ศ. 2525 นายฉ่ำโอนที่พิพาทให้บุตรสาว และบุตรสาวโอนให้โจทก์ทั้งสามโดยพลการ ผู้ร้องตรวจพบจึงฟ้องเรียกที่พิพาทคืน ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ที่พิพาทเป็นของผู้ร้องตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 283/2530 ของศาลชั้นต้น เมื่อประมาณ 4-5 ปีมานี้จำเลยซึ่งเป็นบุตรผู้ร้องไม่มีบ้านอยู่อาศัย ผู้ร้องจึงปลูกบ้านเลขที่ 99/1 ลงบนที่พิพาทเพื่อให้จำเลยอาศัยอยู่กับผู้ร้อง จำเลยได้อาศัยอยู่กับผู้ร้องในบ้านดังกล่าวจนถึงปัจจุบัน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่และบังคับให้จำเลยรื้อถอนบ้านดังกล่าวออกไปจากที่พิพาท ขอให้ศาลไต่สวนคำร้องของผู้ร้อง มีคำสั่งเพิกถอนคำพิพากษาของศาลชั้นต้น และรับรองสิทธิในบ้านพิพาทของผู้ร้อง ห้ามโจทก์เกี่ยวข้องรบกวนกรรมสิทธิ์
ศาลชั้นต้นสั่งรับคำร้อง สำเนาให้โจทก์จำเลย และนัดไต่สวน
โจทก์ทั้งสามยื่นคำคัดค้านในการที่ผู้ร้องร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยว่า การร้องสอดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57 ทั้งสามอนุมาตรานั้นต้องทำในศาลชั้นต้นเท่านั้น หากทำในชั้นอุทธรณ์ฎีกาคดีจะล่าช้าและเสียหายมาก และถ้าจะร้องสอดเข้ามาในชั้นบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1)ตอนท้าย ก็จะต้องมีการบังคับคดีเสียก่อน
ครั้นถึงวันนัดศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาว่าศาลพิเคราะห์คำร้องและคำคัดค้านแล้ว ข้อเท็จจริงพอวินิจฉัยคำสั่งได้แล้วจึงให้งดการไต่สวนและรอฟังคำสั่งโดยศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกันนั้นว่า ตามคำร้องสอดของผู้ร้องนั้น ผู้ร้องอ้างว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของผู้ร้อง เท่ากับแสดงว่าผู้ร้องมิใช่บริวารจำเลยดังนั้น หากผู้ร้องมีสิทธิดีกว่าโจทก์อย่างไร ก็เป็นเรื่องที่ผู้ร้องต้องอำเนินคดีกับโจทก์ต่างหากจะมาขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำพิพากษาในคดีนี้ไม่ได้ ทั้งการร้องสอดของผู้ร้องก็ไม่เข้าเงื่อนไขตามกฎหมาย จึงให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งและคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ตั้งแต่นัดไต่สวนคำร้องสอดของผู้ร้องแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ผู้ร้องร้องเข้ามาในชั้นบังคับคดีโดยศาลออกคำบังคับให้จำเลยรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์ โฉนดเลขที่ 16826 ตำบลบางกะดี อำเภอเมืองปทุมธานีจังหวัดปทุมธานี ผู้ร้องจึงมาร้องว่าบ้านเป็นของผู้ร้อง โดยผู้ร้องปลูกสร้างให้จำเลยได้อยู่อาศัยด้วย ประเด็นแรกจะต้องวินิจฉัยว่าผู้ร้องจะร้องเข้ามาในชั้นบังคับคดีได้หรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า เมื่อปรากฏว่าศาลชั้นต้นพิพากษาและออกคำบังคับให้จำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาทและปรากฏต่อมาว่าศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้จำเลยทุเลาการบังคับในระหว่างอุทธรณ์ ดังนั้น จำเลยจะต้องรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างออกไปตามคำบังคับ ซึ่งจะเป็นผลเสียหายแก่ผู้ร้อง หากผู้ร้องเป็นเจ้าของบ้านและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว ผู้ร้องจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีนี้และถูกโต้แย้งสิทธิ จึงชอบที่จะร้องเข้ามาในชั้นบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1)ได้ โดยไม่ต้องรอให้มีการบังคับคดีเสียก่อน เพราะหากผู้ร้องรอให้มีการบังคับคดีย่อมไม่ทันการ เนื่องจากโจทก์ย่อมขอให้ศาลตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างได้ทันทีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 ทวิ ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า หากผู้ร้องมีสิทธิอย่างไร ก็เป็นเรื่องที่ผู้ร้องดำเนินคดีกับโจทก์ต่างหากนั้น เห็นว่า การจะให้ผู้ร้องไปฟ้องเป็นคดีใหม่ประเด็นข้อพิพาทก็จะมีเช่นเดียวกับการร้องสอดเข้ามาในชั้นบังคับคดีนี้ว่าบ้านและสิ่งปลูกสร้างเป็นของผู้ร้องหรือไม่ กฎหมายจึงบัญญัติให้มีการร้องสอดเสียทีเดียวโดยไม่ต้องให้ไปฟ้องกันใหม่ ผู้ร้องจึงมีสิทธิร้องสอดเข้ามาในชั้นบังคับคดีนี้ได้ ศาลชั้นต้นชอบที่จะรับคำร้องไว้และไต่สวนเพื่อวินิจฉัยถึงข้อโต้แย้งสิทธิของผู้ร้องในชั้นบังคับคดีให้ตามรูปคดี ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของผู้ร้องสอดชอบแล้ว ฎีกาในประเด็นนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
คดีมีประเด็นจะต้องวินิจฉัยต่อไปว่าที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นด้วยนั้นชอบหรือไม่ เห็นว่า ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีไปตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ไม่มีข้ออ้างว่าศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมหรือที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนในการพิจารณาคดี และเป็นการพิพากษาในประเด็นข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลย หาได้เกี่ยวข้องกับคำร้องของผู้ร้องในชั้นบังคับคดีแต่ประการใดไม่จึงไม่ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นด้วย ฎีกาในประเด็นนี้ของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษา.

Share