แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ผู้ค้ำประกันเป็นลูกหนี้ร่วมกันต่อเจ้าหนี้ โจทก์ผู้ค้ำประกันคนหนึ่งชำระหนี้ไปแล้ว โจทก์มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ 3 ผู้ค้ำประกันร่วมกันใช้ส่วนที่จำเลยที่ 3 ต้องรับผิดได้ ในคดีที่ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ใช้หนี้แก่โจทก์ในฐานค้ำประกันร่วมกันนี้ มีผู้ค้ำประกันหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่ 3 โจทก์บังคับคดีแก่ทรัพย์สินของผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 3 ได้ไม่ใช่กรณีที่จำเลยที่ 3 จะขอให้โจทก์บังคับคดีแก่ทรัพย์สินของจำเลยที่ 1,ที่ 2 ซึ่งเป็นลูกหนี้เดิมก่อน ตาม มาตรา 688,689
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสามชำระต้นเงิน 1,100,000บาทพร้อมดอกเบี้ย เพราะโจทก์ได้ชำระเงินจำนวน 1,100,000 บาทแก่ธนาคารแหลมทองไปแล้ว โดยเหตุที่โจทก์และจำเลยที่ 3 ได้ร่วมค้ำประกันเงินดังกล่าวที่จำเลยที่ 1 กู้ไปจากธนาคารแหลมทอง จำกัด และจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดสินมิตรพาณิชย์ ซึ่งศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ชำระเงิน 1,100,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์ หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบ ให้จำเลยที่ 3 ชดใช้ให้โจทก์ครึ่งหนึ่งของจำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบแล้วแต่กรณี
ในชั้นบังคับคดี โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 14726 ตำบลบางซื่อ อำเภอดุสิต จังหวัดพระนคร ของนายรุ่งโรจน์ เขียวรัตน์ ผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่ 3 ตามหนังสือสัญญาค้ำประกันอันดับที่ 125 ในสำนวนนี้ เพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้
จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 19 สิงหาคม 2519 ว่าคดีนี้ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ใช้หนี้โจทก์เป็นเงิน 1,100,000 บาท ถ้าจำเลยที่ 1 และที่ 2ไม่ได้หรือใช้ไม่ครบ ยังขาดเท่าใด ให้จำเลยที่ 3 ใช้โจทก์กึ่งหนึ่งของจำนวนเงินที่ยังขาดอยู่ ปรากฏว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้จากจำเลยที่ 2 แล้วบางส่วน แต่ยังไม่ครบ บัดนี้ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ยังมีทรัพย์สินที่โจทก์จะบังคับคดียึดมาขายทอดตลาดเอาเงินมาชำระหนี้อยู่อีกหลายอย่าง ซึ่งมีราคาประมาณหนึ่งล้านบาท ชอบที่โจทก์จะต้องบังคับเอากับทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ก่อนจึงขอให้งดการขายทอดตลาดทรัพย์ของนายรุ่งโรจน์ เขียวรัตน์ ไว้ก่อน และขอให้ไต่สวนถึงทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับบังคับชำระหนี้จากจำเลยที่ 1และที่ 2 ก่อน ยังขาดเท่าใด แจ้งให้จำเลยที่ 3 ทราบ เพื่อจะได้นำมาชำระแก่โจทก์ต่อไป
ศาลชั้นต้นสั่งในคำร้องของจำเลยที่ 3 ว่า “นัดไต่สวนคำร้องส่งสำเนาให้โจทก์ หมายแจ้งวันนัดให้โจทก์ทราบ การที่จำเลยที่ 3 ขอให้งดการขายทอดตลาดนั้น ศาลเห็นว่าเป็นการขายทอดตลาดทรัพย์ของนายรุ่งโรจน์ เขียวรัตน์ ผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 ไม่มีสิทธิมาขอให้งดการขายทอดตลาดทรัพย์รายนี้ได้”
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 3 มีสิทธิขอให้งดการขายทอดตลาดทรัพย์ของนายรุ่งโรจน์ เขียวรัตน์ ผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่ 3 ได้ แต่ก็ไม่ตัดสิทธิของโจทก์ที่จะบังคับชำระหนี้เอาแก่จำเลยที่ 3 ในส่วนกึ่งหนึ่งซึ่งจำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดชำระแก่โจทก์พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่าตามคำพิพากษามีความหมายว่า ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ก่อนถ้าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบยังขาดอยู่เท่าใดให้จำเลยที่ 3 ชำระครึ่งหนึ่ง และปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ยังมีทรัพย์สินให้โจทก์บังคับชำระหนี้ได้นั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า กรณีคดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์และจำเลยที่ 3 ร่วมกันเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ถือได้ว่าโจทก์กับจำเลยที่ 3 มีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกัน เมื่อโจทก์ได้ชำระหนี้ให้แก่ธนาคารแหลมทองจำกัดแทนจำเลยที่ 3ซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมกับโจทก์ไปด้วยแล้วเช่นนี้ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องเอาส่วนที่จำเลยที่ 3 ต้องรับผิดจากจำเลยที่ 3 ได้ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันหนี้จำเลยที่ 1 อันมีโจทก์เป็นเจ้าหนี้ ซึ่งมีผลทำให้จำเลยที่ 3 ขอให้โจทก์เรียกร้องเอากับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้ชำระหนี้แก่โจทก์ก่อน ถ้าจำเลยที่ 1และที่ 2 ไม่สามารถชำระหนี้ได้ จึงจะให้จำเลยที่ 3 ใช้แทนได้ดังประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 688 และ 689 บัญญัติไว้ ฉะนั้นโจทก์ย่อมมีสิทธิบังคับให้จำเลยที่ 3 ผู้เป็นลูกหนี้ร่วมอีกคนหนึ่งชดใช้หนี้ที่โจทก์ได้ชำระไปแล้วกึ่งหนึ่งได้ ทั้งปรากฏว่าโจทก์ได้บังคับคดีเอากับจำเลยที่ 1 และที่ 2 แล้ว แต่ยังได้รับชำระไม่ครบตามคำพิพากษา โจทก์จึงขอบังคับกับจำเลยที่ 3 อีก ดังนี้ จึงหาขัดกับคำพิพากษาตามที่จำเลยที่ 3 ฎีกา ขึ้นมาไม่ ฎีกาจำเลยที่ 3 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน โจทก์ไม่แก้ฎีกา จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้