แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยอ้างว่าได้รับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยมาฟ้องบังคับจำเลย โดยนำเอาสัญญาเช่าซื้อมานำสืบประกอบฐานะของผู้เอาประกันภัยว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้ มิได้นำสืบบังคับตามสัญญาเช่าซื้อโดยตรง แม้สัญญาเช่าซื้อมิได้ปิดอากรแสตมป์ก็รับฟังได้
จำเลยประกอบธุรกิจโรงแรมมีระเบียบว่าผู้เข้าพักต้องแจ้งให้ทางจำเลยทราบว่ามีรถยนต์เข้ามาจอดในที่จอดรถด้วย เพื่อจะได้จัดพนักงานดูแล มิฉะนั้นหากเกิดความเสียหายหรือสูญหายจำเลยจะไม่รับผิดชอบ ต่อมา ร.ได้เข้าพักในโรงแรมจำเลยโดยนำรถยนต์ไปจอดในที่จอดรถของโรงแรมจำเลย แต่ไม่ได้แจ้งให้จำเลยทราบ เมื่อปรากฏว่า ร.มิได้ตกลงด้วยชัดแจ้งในการยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดดังกล่าวของจำเลย ระเบียบดังกล่าวจึงเป็นโมฆะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 677จำเลยจะบอกปัดความรับผิดไม่ได้
เมื่อรถยนต์ของ ร.หายไปจากที่จอดรถของโรงแรมจำเลย ร.ได้แจ้งให้ พ.ซึ่งเป็นผู้จัดการทั่วไปของโรงแรมจำเลยทราบ แต่ พ.ปฏิเสธความรับผิด ดังนี้ ถือได้ว่า ร.บอกกล่าวให้จำเลยทราบแล้ว เมื่อโจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยจ่ายเงินให้แก่ผู้รับประโยชน์ไปตามสัญญาประกันภัยและรับช่วงสิทธิมาเรียกร้องเอาจากจำเลยเช่นนี้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องโดยไม่จำต้องทวงถามจำเลยก่อน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้รับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกันภัยในการเรียกร้องเอาจากจำเลยในฐานะเจ้าของและผู้ประกอบกิจการโรงแรมที่รถยนต์เอาประกันภัยหายไป ขอให้จำเลยชดใช้เงินจำนวน ๘๑,๙๒๓.๒๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของจำนวนเงิน ๘๐,๐๐๐ บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยทราบฟ้องโจทก์เคลือบคลุม นายรุ่งโรจน์ อุดมวินิจศิลป์ ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์ไม่มีสิทธินำรถยนต์ไปประกันภัยไว้กับโจทก์ นายรุ่งโรจน์นำรถยนต์ไปจอดในโรงแรมของจำเลยแต่มิได้แจ้งให้จำเลยทราบ การที่รถยนต์สูญหายถือได้ว่าเป็นความผิดของนายรุ่งโรจน์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๘๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๒๘ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ก่อนเกิดเหตุนายรุ่งโรจน์ อุดมวินิจศิลป์ ได้เข้าพักในโรงแรมของจำเลยโดยได้นำรถยนต์ไปจอดที่บริเวณที่จอดรถของโรงแรมจำเลย แล้วต่อมารถยนต์คันดังกล่าวหายไป แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่า เห็นว่า คดีนี้โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยอ้างว่าได้รับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยมาฟ้องบังคับจำเลย โดยนำเอาสัญญาเช่าซื้อมานำสืบประกอบฐานะของผู้เอาประกันภัยว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้ มิได้นำสืบบังคับตามสัญญาเช่าซื้อโดยตรง แม้สัญญาเช่าซื้อจะมิได้ปิดอากรแสตมป์ก็รับฟังได้ ดังนั้น จึงต้องฟังว่านายรุ่งโรจน์เป็นผู้มีส่วนได้เสียตามสัญญาประกันภัยหมาย จ.๔ จำเลยอ้างว่า นายรุ่งโรจน์ไม่ได้บอกว่าเข้าพักโรงแรมโดยมีรถยนต์มาด้วยและไม่ได้บอกฝากไว้ จำเลยไม่ต้องรับผิดในฐานะเจ้าสำนักโรงแรมเห็นว่า แม้จะมีระเบียบว่า ผู้เข้าพักต้องแจ้งให้ทางโรงแรมทราบว่ามีรถยนต์มาจอดในที่จอดรถด้วยเพื่อจะได้จัดพนักงานคอยดูแล มิฉะนั้นหากเกิดความเสียหายหรือสูญหาย จำเลยจะไม่รับผิดชอบก็ตาม แต่ไม่ปรากฏว่านายรุ่งโรจน์ได้ตกลงด้วยชัดแจ้งในการยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดดังกล่าวดังนั้นระเบียบดังกล่าวจึงเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๗๗ จำเลยจะบอกปัดความรับผิดไม่ได้ ส่วนที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้ตามฟ้องถือไม่ได้ว่าจำเลยผิดนัดต่อโจทก์หรือโต้แย้งสิทธิโจทก์ จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า ภายหลังจากที่นายรุ่งโรจน์ทราบว่ารถยนต์ตามฟ้องหายไปขณะที่จอดอยู่ภายในโรงแรมของจำเลยนายรุ่งโรจน์ได้แจ้งให้นายไพศาล สุวคนธ์ ผู้จัดการทั่วไปของโรงแรมทราบ แต่นายไพศาลปฏิเสธความรับผิด ดังนี้ย่อมถือได้ว่า นายรุ่งโรจน์ได้บอกกล่าวให้จำเลยทราบแล้ว เมื่อโจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยจ่ายเงินให้แก่ผู้รับประโยชน์ไปตามสัญญาประกันภัยและรับช่วงสิทธิมาเรียกร้องเอาจากจำเลยเป็นคดีนี้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้โดยไม่จำต้องทวงถามจำเลยก่อนอีก
พิพากษายืน.