แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นสั่งปรับผู้ร้องทั้งสามฐานผิดสัญญาประกันและตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์อันเป็นหลักประกันออกขายทอดตลาดจนเสร็จสิ้น ผู้ร้องทั้งสามยื่นคำร้อง ขอให้สั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดและดำเนินการขายทอดตลาดใหม่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง ผู้ร้องทั้งสามอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนคำร้องของผู้ร้องทั้งสาม แล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี ผู้ซื้อทรัพย์ทั้งสองฎีกา ดังนี้มิใช่กรณีที่ผู้ร้องทั้งสามยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ปฏิเสธไม่ยอมรับอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้รับอุทธรณ์อันจะทำให้คำสั่งศาลอุทธรณ์เป็นที่สุด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 236 วรรคแรก ผู้ซื้อทรัพย์ทั้งสองจึงฎีกาได้
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งปรับผู้ร้องทั้งสามตามสัญญาประกันที่ผู้ร้องทั้งสามประกันตัวจำเลยที่ 2 และที่ 4ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา เพราะผู้ร้องทั้งสามผิดสัญญาประกันศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์อันเป็นหลักประกันออกขายทอดตลาดจนเสร็จสิ้นแล้ว ผู้ร้องทั้งสามยื่นคำร้องว่าไม่เคยทราบคำบังคับ หมายบังคับคดี และวันขายทอดตลาด เจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศขายทอดตลาดทางหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นไม่ได้แจ้งให้ผู้ร้องทั้งสามทราบโดยตรง และการขายทอดตลาดใน 3 ครั้งหลังไม่ได้แจ้งให้ผู้ร้องทั้งสามทราบ ไม่ว่าจะทางหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นหรือการประกาศที่หน้าศาล ทั้งราคาที่ขายได้ก็ต่ำกว่าราคาประเมินและราคาจริงหลายเท่า การประกาศขายทอดตลาดและการขายทอดตลาดดังกล่าวไม่ถูกต้องตามระเบียบและไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้สั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดเพื่อให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดใหม่
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ตามสัญญาประกันข้อ 5, 6 ถือว่านายประกันทราบคำบังคับของศาลแล้ว และคำร้องไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีกระทำการไม่สุจริตอย่างไร จึงให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนคำร้องของผู้ร้องทั้งสาม แล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี
ผู้ซื้อทรัพย์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่าผู้ซื้อทรัพย์ทั้งสองต้องห้ามฎีกาเพราะคำสั่งศาลอุทธรณ์เป็นที่สุดดังที่ผู้ร้องทั้งสามแก้ฎีกาหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้มิใช่ผู้ร้องทั้งสามยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ปฏิเสธไม่ยอมรับอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ อันจะทำให้คำสั่งศาลอุทธรณ์เป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 วรรคแรกดังนั้น ที่ผู้ร้องทั้งสามแก้ฎีกาว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 นั้นเป็นคำสั่งศาลอุทธรณ์อันเป็นที่สุดต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 ประกอบด้วยมาตรา 247 จึงฟังไม่ขึ้นผู้ซื้อทรัพย์ทั้งสองฎีกาได้
สำหรับปัญหาตามฎีกาของผู้ซื้อทรัพย์ทั้งสองนั้น เห็นสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า การบังคับคดีรายนี้มิได้เสร็จลงก่อนที่ผู้ร้องทั้งสามจะยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดหรือไม่ปรากฏจากรายงานเจ้าหน้าที่ศาลจังหวัดฝางลงวันที่ 16 มีนาคม 2531ว่า ผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดได้ชำระราคาครบถ้วนแล้วเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2531 และปรากฏจากหนังสือของศาลจังหวัดฝางลงวันที่ 21 มีนาคม 2531 ว่า เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2531 ศาลได้มีหนังสือถึงนายอำเภอแม่อายให้โอนที่ดินอันเป็นทรัพย์จากการขายทอดตลาดให้แก่ผู้ซื้อแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวถือได้ว่าการบังคับคดีเกี่ยวกับทรัพย์ของผู้ร้องทั้งสามได้เสร็จลงแล้ว ดังนั้น แม้คดีจะฟังว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศขายทอดตลาดและขายทอดตลาดทรัพย์ของผู้ร้องทั้งสามไม่ถูกต้องตามระเบียบและไม่ชอบด้วยกฎหมายดังคำร้องของผู้ร้องทั้งสามอันเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค 4ลักษณะ 2 ว่าด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งก็ตามแต่ผู้ร้องทั้งสามเพิ่งยื่นคำร้องดังกล่าว เมื่อวันที่ 12 มกราคม2533 เป็นการยื่นภายหลังจากการบังคับคดีได้เสร็จลงแล้วจึงเป็นคำร้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 296 วรรคสอง ผู้ร้องทั้งสามจึงไม่มีสิทธิที่จะขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดได้คดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นต่อไปคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาของผู้ซื้อทรัพย์ทั้งสองฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสาม