แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำร้องของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ระบุว่า หลังจากโจทก์ยึดทรัพย์ของจำเลยทั้งสี่ออกขายทอดตลาดแล้ว โจทก์ได้เรียกร้องให้จำเลยทั้งสี่ชำระหนี้ในคดีนี้ให้แก่โจทก์อีก อ้างว่าเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยทั้งสี่ไม่เพียงพอกับเงินที่จำเลยทั้งสี่ต้องชำระตามคำพิพากษาตามยอม จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3ได้ปฏิเสธที่จะชำระหนี้เพราะตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอม ถ้าหากจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ไม่ชำระหนี้โจทก์ก็มีสิทธิบังคับชำระหนี้เพียงจากทรัพย์ที่จำเลยทั้งสี่จดทะเบียนจำนองไว้แก่โจทก์เท่านั้น คำร้องของจำเลยที่ 1 ที่ 2และที่ 3 ในส่วนนี้อนุโลมได้ว่าเป็นการร้องขอให้งดการบังคับคดีอีกต่อไปอยู่ด้วย เมื่อศาลชั้นต้นมีคำอธิบายสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมซึ่งมีผลให้โจทก์สามารถติดตามยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เพื่อบังคับชำระหนี้ได้อีกจนครบมูลหนี้ จึงมีผลเป็นคำสั่งในชั้นบังคับคดีที่ให้โจทก์บังคับคดีต่อไปได้อยู่ในตัวจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 จึงอาจใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 คำฟ้องโจทก์ระบุชัดเจนว่าหากบังคับจำนองได้เงินไม่ครบให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระจนครบ โจทก์และจำเลยทั้งสี่ไม่ได้ตกลงจำกัดความรับผิดไว้ว่าถ้าหากโจทก์ยึดทรัพย์ของจำเลยทั้งสี่ที่ได้จำนองไว้แก่โจทก์ออกขายทอดตลาดได้เงินไม่ครบจำนวนหนี้แล้วจำเลยทั้งสี่ไม่ต้องรับผิดอีก หรือโจทก์ติดตามเอาชำระหนี้จากทรัพย์สินของจำเลยทั้งสี่จนครบจำนวนหนี้ไม่ได้อีก ดังนั้นเมื่อโจทก์ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดแล้วได้เงินไม่เพียงพอจำนวนหนี้ โจทก์จึงยังมีสิทธิติดตามบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสี่ภายใน 10 ปี ได้จนครบจำนวนหนี้
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระหนี้กู้ยืม โจทก์และจำเลยทั้งสี่ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลชั้นต้นพิพากษาไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ขอให้ศาลชั้นต้นอธิบายสัญญาประนีประนอมยอมความ
ศาลชั้นต้นอธิบายว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความจำเลยทั้งสี่ต้องร่วมกันชำระหนี้จำนวน 7,197,718.86 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี จากต้นเงิน 4,000,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์โดยชำระให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 30 มิถุนายน2528 ส่วนสัญญาข้อ 2 ที่ระบุว่าหากจำเลยทั้งสี่ผิดนัด ยอมให้โจทก์ยึดทรัพย์ของจำเลยทั้งสี่ที่จำนองไว้กับโจทก์ออกขายทอดตลาดเป็นเพียงวิธีการบังคับการชำระหนี้อย่างหนึ่งเท่านั้น เมื่อสัญญาประนีประนอมยอมความมิได้ระบุไว้ว่าโจทก์จะบังคับเอาการชำระหนี้ได้แต่เฉพาะทรัพย์สินที่จำเลยทั้งสี่จำนองไว้กับโจทก์ ดังนั้นหากโจทก์บังคับการชำระหนี้ตามข้อ 2 แล้วยังได้เงินไม่พอชำระหนี้โจทก์จึงชอบที่จะบังคับเอาการชำระหนี้จากทรัพย์สินใด ๆ ของจำเลยทั้งสี่จนกว่าโจทก์จะได้รับการชำระหนี้จนสิ้นเชิง
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 อุทธรณ์ว่า คำอธิบายของศาลชั้นต้นไม่ถูกต้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 เห็นว่า คำอธิบายของศาลชั้นต้นไม่ใช่คำพิพากษาหรือคำสั่ง จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3มีสิทธิอุทธรณ์การอธิบายสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาตามยอมแล้วหรือไม่ ตามคำร้องของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3ระบุว่าหลังจากโจทก์ยึดทรัพย์ของจำเลยทั้งสี่ออกขายทอดตลาดแล้วเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2533 โจทก์ได้เรียกร้องให้จำเลยทั้งสี่ทั้งสี่ชำระหนี้ในคดีนี้ให้กับโจทก์อีก อ้างว่า เงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยทั้งสี่ไม่เพียงกับเงินที่จำเลยทั้งสี่ต้องชำระตามคำพิพากษาตามยอม จำเลยทั้งสามได้ปฏิเสธที่จะชำระหนี้เพราะตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษา ถ้าหากจำเลยทั้งสามไม่ไม่ชำระหนี้ โจทก์มีสิทธิบังคับชำระหนี้เพียงจากทรัพย์ที่จำเลยจำเลยทั้งสี่จดทะเบียนจำนองไว้กับโจทก์เท่านั้น คำร้องของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ในส่วนนี้พออนุโลมได้ว่าเป็นการร้องขอให้งดการบังคับคดีอีกต่อไปอยู่ด้วย เมื่อศาลชั้นต้นมีคำอธิบายสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 23 กรกฎาคม 2534 มีผลให้โจทก์สามารถติดตามยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามเพื่อบังคับชำระหนี้ได้อีกจนครบมูลหนี้ นอกจากเป็นคำอธิบายดังศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้วยังมีผลเป็นคำสั่งของศาลชั้นต้นในชั้นบังคับคดีที่ให้โจทก์บังคับคดีต่อไปได้อยู่ในตัว ซึ่งจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 อาจใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 เห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาตามคำร้องของจำเลยที่ 1 ที่ 2ที่ 3 ลงวันที่ 17 กรกฎาคม 2534 ที่ว่า เมื่อโจทก์บังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์จำนองแล้วได้เงินไม่เพียงพอชำระหนี้ตามคำพิพากษาโจทก์มีสิทธิบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสี่อีกหรือไม่ โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยเห็นว่า ที่โจทก์กับจำเลยทั้งสี่ทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลพิพากษาตามยอมลงวันที่ 28 ธันวาคม 2527 และกำหนดวิธีการชำระหนี้ตามสัญญาไว้ในข้อ 1 ข้อ 2 นั้น เป็นการตกลงชำระหนี้ตามฟ้องซึ่งตามคำฟ้องของโจทก์นั้น โจทก์ระบุไว้ชัดเจนว่า ถ้าหากบังคับจำนองได้เงินไม่ครบให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระจนครบ โจทก์และจำเลยทั้งสี่ไม่ได้ตกลงจำกัดความรับผิดไว้ว่าถ้าหากโจทก์ยึดทรัพย์ของจำเลยทั้งสี่ที่ได้จำนองไว้กับโจทก์ออกขายทอดตลาดได้เงินไม่ครบจำนวนหนี้แล้ว จำเลยทั้งสี่ไม่ต้องรับผิดอีกหรือโจทก์ติดตามเอาชำระหนี้จากทรัพย์สินของจำเลยทั้งสี่จนครบจำนวนหนี้ไม่ได้อีก ฉะนั้นเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า โจทก์ยึดทรัพย์สินคือที่ดินซึ่งจำเลยทั้งสี่ได้จำนองไว้กับโจทก์ออกขายทอดตลาดตามสัญญายอมความข้อ 2 แล้วได้เงินไม่เพียงพอจำนวนหนี้ตามสัญญาข้อ 1 แล้ว โจทก์จึงยังมีสิทธิติดตามบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสี่ภายในสิบปีจนครบจำนวนหนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้บังคับไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น