คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 377/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้เสียหายมีรอยแผลที่เอวยาว 7 ซม. มีสายยางใส่อยู่และแผลเย็บมาแล้วท้องแข็งอืด และเจ็บด้านขวามากกว่าด้านซ้าย เป็นแผลโดนของมีคมและอาจจะโดน อวัยวะภายในช่องท้อง ซึ่งคงต้องผ่าตัดและถ้า ไม่มีปัญหาแทรกซ้อน แผลก็จะหายในเวลา 7-10 วัน โดยไม่ปรากฏว่าของมีคมมีขนาดเท่าใด ผู้เสียหายเบิกความว่าถูกแทงเพียงครั้งเดียวแล้วคนร้ายก็หลบหนีไป ไม่ปรากฏว่ามีการแทงซ้ำหากจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายก็น่าจะแทงซ้ำอีกเพราะไม่มีคนห้าม แม้ ศ. ผู้ตรวจรักษาผู้เสียหายจะเบิกความว่าบาดแผลผู้เสียหายถูกเส้นเลือดใหญ่ หากไม่รักษาอาจถึงตาย ได้เนื่องจากเสียเลือดมาก ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยแทงผู้เสียหายโดยเจตนาฆ่าฟังได้ว่าจำเลยมีเพียงเจตนาทำร้ายร่างกาย ตาม ป.อ. มาตรา 295เท่านั้น.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้มีดปลายแหลมเป็นอาวุธแทงนายผุด จันทร์ขาวที่บริเวณเอวขวาโดยเจตนาฆ่า จำเลยลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้วแต่การกระทำไม่บรรลุผล นายผุดเพียงได้รับบาดเจ็บ ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญาอาญา มาตรา 288, 80
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80 จำคุก 10 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาอาญา มาตรา 295 จำคุก 1 ปี
โจทก์ฎีกาว่าจำเลยแทงผู้เสียหายโดยเจตนาฆ่า
จำเลยฎีกาว่าไม่ได้แทงผู้เสียหายตามฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ยุติในเบื้องต้นว่าตามวันเวลาและสถานที่ที่โจทก์ฟ้อง นายผุด จันทร์ขาว ผู้เสียหายถูกแทงได้รับบาดเจ็บตามรายงานชันสูตรบาดแผลท้ายฟ้อง คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นคนแทงผู้เสียหายโดยเจตนาฆ่าตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนายสมเจตน์ ขาวหวาน มาเบิกความเป็นประจักษ์พยานว่าขณะเกิดเหตุพยานยืนอยู่ใกล้ ๆ พวกที่ตั้งวงดื่มสุรากันในบริเวณโรงธรรมของวัดที่เกิดเหตุ และเห็นเหตุการณ์ขณะที่ผู้เสียหายถูกแทงด้วย โดยเห็นผู้เสียหายเดินออกจากโรงธรรม โดยมีจำเลยเดินตามไปและแทงผู้เสียหายแล้วก็หลบหนีไป พยานได้เข้าไปดูปรากฏว่าผู้เสียหายถูกแทงบริเวณหลัง จึงได้พาผู้เสียหายซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ส่งสถานีอนามัยบ่อทราบและได้พบนางประคิ่นภรรยาผู้เสียหายซึ่งมาเที่ยวงานที่สถานีอนามัยดังกล่าว จึงได้บอกว่าจำเลยเป็นคนแทงผู้เสียหายซึ่งสอดคล้องกับคำเบิกความของนางประคิ่น ขาวหวาน ภรรยาผู้เสียหายที่ยืนยันว่า ได้พูดคุยกับนายสมเจตน์และนายสมเจตน์บอกว่าเห็นจำเลยเป็นคนแทงผู้เสียหาย เห็นว่า นายสมเจตน์เบิกความว่าตนไม่ได้ร่วมดื่มสุรากับพวกที่ดื่มสุราดังกล่าว และยืนยันว่า บริเวณที่เกิดเหตุมีแสงไฟนีออกจากบริเวณโรงธรรมและแสงไฟจากศาลาซึ่งห่างจากบริเวณที่เกิดเหตุประมาณ 7-8 วา พยานปากนี้ไม่มีเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนกับได้บอกชื่อคนร้ายแก่นางประคิ่นภรรยาผู้เสียหายในคืนเกิดเหตุนั้นเอง ประกอบกับนางประคิ่นได้บอกชื่อคนร้ายแก่นายเศียร ดงแก้ว ผู้ใหญ่บ้านในคืนนั้นด้วย จึงเชื่อได้โดยปราศจากสงสัยว่า นายสมเจตน์เห็นจำเลยเป็นคนแทงผู้เสียหายจริง แม้ตัวผู้เสียหายและนายคล้อย จีนเยี้ยน จะไม่ยืนยันแน่ชัดว่าเห็นคนร้ายก็ตาม ก็ไม่ทำให้น้ำหนักคำพยานของนายสมเจตน์ต้องเสียไป เพราะตัวผู้เสียหายถูกแทงหลังในขณะที่ผู้เสียหายอยู่ในสภาพมึนเมาสุราส่วนนายคล้อยก็ไปเอารถจักรยานยนต์ในโรงธรรมจึงไม่เห็นคนร้ายประกอบกับในช่วงเวลาต่อเนื่องกับเวลาที่เกิดเหตุจำเลยมีเรื่องชกต่อยกับผู้เสียหายในโรงธรรมเพราะโกรธที่ผู้เสียหายไม่ยอมให้จำเลยไปดื่มสุราต่อที่อื่นกับนายคล้อยด้วย โดยไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายมีเรื่องวิวาทกับผู้อื่นในขณะนั้น คนที่แทงผู้เสียหายจะเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจากจำเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อเท็จจริงได้ความจากคำของร้อยตำรวจเอกเลอพงษ์ ภู่ไพบูลย์ พนักงานสอบสวนด้วยว่า หลังจากที่ทราบจากนางประคิ่นภรรยาผู้เสียหายว่าจำเลยเป็นคนร้าย ปรากฏว่าจำเลยได้หลบหนีไปเพิ่งตามตัวจำเลยมาได้เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2530หลังเกิดเหตุนานเกือบ 3 เดือน ตามบันทึกการจับกุมหมาย จ.3 หากจำเลยไม่ได้กระทำผิดจริงแล้ว ก็ไม่มีเหตุที่จะต้องหลบหนีแต่อย่างใดพยานหลักฐานโจทก์จึงรับฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยเป็นคนแทงผู้เสียหายจริง พยานหลักฐานจำเลยไม่มีน้ำหนักพอที่จะฟังหักล้างพยานโจทก์ได้
ส่วนปัญหาตามฎีกาของโจทก์ที่ว่า จำเลยได้แทงผู้เสียหายโดยเจตนาฆ่าหรือไม่นั้น เห็นว่า เมื่อได้ตรวจรายงานชันสูตรบาดแผลท้ายฟ้องปรากฏว่าผู้เสียหายมีรอยแผลที่เอวยาว 7 ซม. มีสายยางใส่อยู่(ใส่มาจาก ร.พ. ควนขนุน) และแผลเย็บมาแล้ว ท้องแข็งอืด และเจ็บด้านขวามากกว่าด้านซ้ายเป็นแผลโดนของมีคม และอาจจะโดนอวัยวะภายในช่องท้อง ซึ่งคงต้องผ่าตัด และถ้าไม่มีปัญหาแทรกซ้อน แผลก็จะหายในเวลา 7-10 วัน โดยไม่ปรากฏชัดว่าของมีคมที่จำเลยใช้แทงผู้เสียหายมีขนาดเท่าใด เพราะนายสมเจตน์ประจักษ์พยานของโจทก์เบิกความว่าไม่ได้สังเกตว่ามีดที่จำเลยใช้แทงนั้นมีขนาดเท่าใดเมื่อผู้เสียหายเบิกความว่าถูกแทงเพียงครั้งเดียวแล้ว คนร้ายก็หลบหนีไป ไม่ปรากฏว่ามีการแทงซ้ำ หากจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายก็น่าจะแทงซ้ำอีกเพราะไม่มีคนห้าม แต่จำเลยแทงเพียงครั้งเดียวบาดแผลรักษาหายได้ภายใน 7-10 วัน และผู้เสียหายรักษาตัวในโรงพยาบาลเพียง 15 วัน แม้แพทย์หญิงศิริพร อรุณ ผู้ตรวจรักษาผู้เสียหายจะเบิกความว่า บาดแผลของผู้เสียหายถูกเส้นเลือดใหญ่ หากไม่รักษาอาจถึงตายได้เนื่องจากเสียเลือดมากก็ตาม ก็ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยแทงผู้เสียหายโดยเจตนาฆ่า ตามพฤติการณ์ดังกล่าวฟังได้ว่าจำเลยมีเพียงเจตนาทำร้ายร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295เท่านั้น…”
พิพากษายืน.

Share