แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์มีหนังสือรับรองของนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครและหนังสือมอบอำนาจประกอบคำเบิกความของ ค. ผู้รับมอบอำนาจเป็นพยานโดยจำเลยมิได้นำสืบหักล้างแต่ประการใด ย่อม เป็นการเพียงพอที่ฟังได้ว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลและมอบอำนาจ ให้ ค.ฟ้องคดีแทนจริง โดยไม่จำเป็นต้องนำหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างโจทก์และ นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครมาสืบประกอบ
แม้โจทก์มิได้ลงชื่อในสัญญาเช่าซื้อ แต่โจทก์มอบอำนาจให้ค. เป็นผู้มีอำนาจลงชื่อทำสัญญาเช่าซื้อแทนได้ โจทก์ จึงมีอำนาจฟ้อง
ข้อสัญญาเช่าซื้อรถที่กำหนดว่า ผู้เช่าซื้อไม่ชำระราคา เช่าซื้อ 2 งวดติดต่อกัน สัญญาเป็นอันสิ้นสุดลง ผู้ให้เช่าซื้อชอบที่จะเอารถพร้อมอุปกรณ์คืนได้ และ ผู้เช่าซื้อยอมให้ผู้ให้เช่าซื้อตีราคารถพร้อมอุปกรณ์ได้แต่ เพียงผู้เดียวโดยถือเป็นเด็ดขาด และเมื่อคิดหักกับราคาที่ผู้เช่าซื้อได้ผ่อนชำระบางส่วนแล้วผู้เช่าซื้อยังคงเป็นหนี้อยู่ ก็ยินยอมให้ผู้เช่าซื้อฟ้องร้องบังคับคดีเอาแก่ผู้เช่าซื้อได้ทันทีนั้น เป็นเรื่องที่ผู้เช่าซื้อสมัครใจทำสัญญาเสียเปรียบเอง หาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนไม่ ข้อสัญญาดังกล่าวเป็นวิธีการกำหนดค่าเสียหายวิธีหนึ่ง มีลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับถ้าหากกำหนดไว้สูงเกินส่วน ศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้ และข้อสัญญานี้มิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ จะใช้อัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตามสัญญาซึ่งกำหนดไว้ใน กรณีที่ผู้เช่าซื้อค้างชำระเงินค่าเช่าซื้อหาได้ไม่ ต้องใช้อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7
โจทก์ที่ 2 แม้จะเป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดและเป็นผู้จัดการของห้างโจทก์ที่ 1 ก็ตาม หากกรณี เป็นเรื่องของห้างโจทก์ที่ 1 โดยเฉพาะ ไม่ใช่กิจการ ส่วนตัวของโจทก์ที่ 2.โจทก์ที่ 2 ไม่มีอำนาจฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถแบบดันพร้อมตีนตะขาบจากโจทก์ที่ ๑ จำนวน ๑ คัน ราคา ๔๖๐,๐๐๐ บาท ชำระเงินในวันทำสัญญา ๖๐,๐๐๐ บาท ที่เหลือผ่อนชำระเป็น ๑๒ งวด งวดละเดือน มีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ ๑ ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อเพียง ๑๙๐,๐๐๐ บาท แล้วผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้ออีกต่อไป คงค้างชำระค่าเช่าซื้อ ๒๑๐,๐๐๐ บาท ต่อมาจำเลยที่ ๑นำรถมาคืนให้โจทก์ โจทก์ประเมินราคารถพร้อมอุปกรณ์ได้ราคา ๑๐๐,๐๐๐ บาทหักกับค่าเช่าซื้อและดอกเบี้ยที่ค้างชำระแล้ว จำเลยที่ ๑ ยังเป็นหนี้โจทก์อยู่๑๒๖,๒๕๒.๙๘ บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าซื้อรถพิพาทจริง แต่ผู้ลงนามในสัญญาเช่าซื้อของโจทก์มิใช่กรรมการหรือผู้มีอำนาจของห้างโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ได้รับคืนไปแล้วหักค่าเสื่อมราคาแล้ว ราคารถขณะที่รับคืนไปควรจะเป็น ๓๓๗,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ ชำระค่าเช่าซื้อไปแล้ว ๒๕๐,๐๐๐ บาทจึงเป็นจำนวนเงินเกินกว่าค่าเสียหายที่โจทก์จะพึงได้รับ จำเลยที่ ๑ ไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายอีก
จำเลยที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินที่ค้างกับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระให้จำเลยที่ ๒ชำระแทน ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ ๒
โจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ ได้ทำหนังสือสัญญาเช่าซื้อรถแบบดันพร้อมตักตีนตะขาบจากโจทก์ที่ ๑ เป็นเงิน ๔๖๐,๐๐๐ บาทชำระค่าเช่าซื้อในวันทำสัญญา ๖๐,๐๐๐ บาท ที่เหลืออีก ๔๐๐,๐๐๐ บาทผ่อนชำระ ๑๒ เดือน จำเลยที่ ๑ ชำระค่าเช่าซื้อถึงงวดเดือนกรกฎาคม ๒๕๒๑ แล้วไม่ชำระค่าเช่าซื้ออีกเลยจนวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๒๒จำเลยที่ ๑ จึงนำรถไปคืนให้แก่โจทก์รวมเป็นเงินที่จำเลยที่ ๑ ชำระทั้งหมด ๒๕๐,๐๐๐ บาท คงขาดไป ๒๑๐,๐๐๐ บาท แล้ววินิจฉัยว่าตามฎีกาของจำเลยที่ ๑ ว่าโจทก์มิได้นำนายกมลหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างโจทก์ที่ ๑และมิได้นำนายทะเบียนมาสืบ จึงรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลและมอบอำนาจให้นายคุนน้ำเป็นผู้ฟ้องคดีแทนนั้น เห็นว่าโจทก์มีหนังสือมอบอำนาจและหนังสือรับรองของนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครประกอบคำเบิกความของนายคุนน้ำเป็นพยานโดยที่จำเลยมิได้นำสืบหักล้างแต่ประการใด ย่อมเป็นการเพียงพอที่จะเชื่อได้ว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลและมอบอำนาจให้นายคุนน้ำฟ้องคดีแทนจริงโดยไม่จำเป็นต้องนำนายกมลและนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครมาสืบประกอบก็รับฟังได้
ที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะมิได้ลงชื่อในสัญญาเช่าซื้อนั้น ปรากฏว่าโจทก์ได้มอบอำนาจตามเอกสารหมาย จ.๓ ให้นายคุนน้ำเป็นผู้มีอำนาจลงชื่อทำสัญญาให้เช่าซื้อแทนได้ จำเลยมิได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่นทั้งในขณะทำสัญญาเช่าซื้อก็มิได้โต้แย้งความข้อนี้ คดีจึงฟังได้ว่านายคุนน้ำได้ลงชื่อในสัญญาเช่าซื้อแทนโจทก์ โจทก์มีอำนาจฟ้องได้
ที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่าสัญญาเช่าซื้อตามเอกสารหมาย จ.๔ ข้อ ๖ ที่ให้เช่าซื้อตีราคารถพร้อมทั้งอุปกรณ์ที่ผู้ให้เช่าซื้อเอาคืนและครอบครองนั้นได้แต่เพียงผู้เดียว โดยถือเป็นเด็ดขาด และเมื่อผู้ให้เช่าซื้อคิดหักกับราคาที่ผู้เช่าซื้อได้ผ่อนชำระมาบางส่วนแล้ว ปรากฏว่าผู้เช่าซื้อยังคงเป็นหนี้อยู่ผู้เช่าซื้อก็ยินยอมให้ผู้ให้เช่าซื้อฟ้องร้องบังคับเอาแก่ผู้เช่าซื้อได้ทันทีเป็นการให้อำนาจผู้ให้เช่าซื้อตีราคาตามอำเภอใจเป็นการเอาเปรียบผู้เช่าซื้อเป็นโมฆะศาลอุทธรณ์ต้องรับวินิจฉัยให้เพราะเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนไม่ต้องห้ามอุทธรณ์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าข้อที่จำเลยที่ ๑ยกขึ้นอ้างดังกล่าวมานั้นหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนไม่เป็นเรื่องที่จำเลยที่ ๑ สมัครใจทำสัญญาเสียเปรียบเอง เมื่อจำเลยที่ ๑ มิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การ ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยจึงชอบแล้ว
ในเรื่องค่าเสียหายศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เรื่องนี้โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยตามสัญญาเช่าซื้อ ในกรณีผิดสัญญาได้มีการตกลงกันไว้ในสัญญาข้อ ๕ ว่าถ้าผู้เช่าซื้อไม่ชำระค่าเช่าซื้อเป็นเวลา ๒ งวดติดต่อกันสัญญาเป็นอันสิ้นสุดลงโดยพลัน ผู้ให้เช่าซื้อชอบที่จะเอาคืนรถพร้อมทั้งอุปกรณ์ได้ ข้อ ๖ ว่าเมื่อผู้ให้เช่าซื้อเอารถพร้อมอุปกรณ์คืนตามข้อ ๕ แล้วผู้เช่าซื้อยอมให้ผู้ให้เช่าซื้อตีราคารถพร้อมอุปกรณ์ได้แต่เพียงผู้เดียว เมื่อคิดหักกับราคาที่ผู้เช่าซื้อได้ผ่อนชำระมาบางส่วนแล้ว ปรากฏว่าผู้เช่าซื้อยังคงเป็นหนี้อยู่ก็ยอมให้ฟ้องร้องเอาแก่ผู้เช่าซื้อได้ทันที ข้อสัญญาดังกล่าวเป็นวิธีการกำหนดค่าเสียหายวิธีหนึ่งมี ลักษณะเป็นการกำหนดเบี้ยปรับ จำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดตามสัญญาดังกล่าว ซึ่งสัญญาข้อนี้มิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้จะใช้อัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีตามสัญญาข้อ ๑๐ ไม่ได้ต้องใช้อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗
ที่โจทก์ที่ ๒ ฎีกาว่าควรมีอำนาจฟ้องในฐานะส่วนตัวด้วยนั้น เห็นว่าแม้โจทก์ที่ ๒ จะเป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดและเป็นผู้จัดการของห้างโจทก์ที่ ๑ ก็ตาม แต่กรณีนี้หาใช่กิจการส่วนตัวของโจทก์ที่ ๒ ไม่เป็นเรื่องของโจทก์ที่ ๑ โดยเฉพาะ โจทก์ที่ ๒ ไม่มีอำนาจฟ้องในฐานะส่วนตัว
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๑๑๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระ ให้จำเลยที่ ๒ชำระแทน