คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1650/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เงินที่บริษัทผู้ล้มละลายมอบให้ผู้ร้องซึ่งเป็นคนของบริษัทเองนำไปใช้จ่ายในการก่อสร้างที่บริษัทรับเหมาทำ หาเข้าลักษณะเป็นค่าที่ได้ออกเงินทดรองไป ตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1) ไม่ จึงมิใช่หนี้ที่มีอายุความสองปี หรือห้าปีตามที่บัญญัติไว้ในบทมาตราดังกล่าว หากเป็นหนี้ที่มีอายุความสิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 164 เมื่อนับจากวันที่บริษัทผู้ล้มละลายจ่ายเงินให้ผู้ร้องจนถึงวันที่เจ้าพนักงานพิทักษ์เรียกร้องให้ผู้ร้องชำระหนี้ ยังไม่ถึงสิบปี สิทธิเรียกร้องของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงยังไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

คดีนี้ เนื่องจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของบริษัทจำเลยผู้ล้มละลายยื่นคำขอต่อศาลชั้นต้นว่า ทางสอบสวนปรากฏว่าผู้ร้องไม่นำเงินรายได้ของบริษัทผู้ล้มละลายส่งเข้าบัญชีบริษัท ๑๖,๔๓๘,๖๐๗ บาท เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ร้องนำเงินจำนวนดังกล่าวไปชำระต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ภายในกำหนด ๑๔ วัน หรือหากจะปฏิเสธก็ให้แจ้งเป็นหนังสือไปยังเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนดเวลาเดียวกัน ผู้ร้องได้รับหนังสือแล้วแต่มิได้ปฏิเสธภายในกำหนด จึงขอให้ศาลออกคำบังคับให้ผู้ร้องชำระเงินจำนวนดังกล่าวตามมาตรา ๑๑๙ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เดิมบริษัทผู้ล้มละลายให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการเกี่ยวกับการก่อสร้างของบริษัท และให้ผู้ร้องลงชื่อรับเงินทดรองเพื่อจ่ายค่าวัสดุก่อสร้างและค่าแรงงานแล้วให้ผู้ร้องส่งใบสำคัญหักล้างหนี้ภายหลัง ซึ่งผู้ร้องได้ส่งใบสำคัญแสดงการจ่ายเงินที่ผู้ร้องรับไปจากบริษัทต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จนหมดสิ้นแล้ว ไม่ต้องรับผิดในเงินที่รับมา และไม่ได้เป็นหนี้บริษัท หากฟังว่าผู้ร้องเป็นหนี้ผู้ล้มละลาย ก็ชอบที่จะเรียกคืนภายใน ๒ ปี เพราะเงินดังกล่าวผู้ร้องขอรับมาในฐานะเงินทดรองจ่ายเพื่อกิจการงานของบริษัทในการก่อสร้าง หนี้จึงขาดอายุความแล้ว ทั้งผู้ร้องได้ปฏิเสธไปยังเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แล้ว แต่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพิ่งมายืนยันหนี้กับผู้ร้องเมื่อเกิน ๑๐ ปีแล้ว หนี้จึงขาดอายุความขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้ร้องมิได้เป็นหนี้รายนี้ และให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จำหน่ายชื่อผู้ร้องออกจากบัญชีลูกหนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์คัดค้านว่า บริษัทผู้ล้มละลายไม่มีการจ่ายเงินค่าวัสดุก่อสร้างและค่าแรงงาน การส่งใบสำคัญของผู้ร้องมีพิรุธ หนี้รายนี้ไม่ขาดอายุความ ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยแล้วมีคำสั่งให้ผู้ร้องชำระหนี้จำนวน ๕,๓๙๒,๘๓๕.๓๖ บาทให้แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
ผู้ร้องเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิทักษ์ทรัพย์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ เป็นว่า ให้ผู้ร้องชำระหนี้ ๑,๒๔๘,๓๗๙.๓๖ บาท แต่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
ผู้ร้องและเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฎีกา
ที่ผู้ร้องฎีกาว่า สิทธิเรียกร้องของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในหนี้รายนี้ขาดอายุความ โดยผู้ร้องอ้างว่าหนี้รายนี้เป็นเงินทดรองจ่ายในแผนกก่อสร้าง เจ้าหนี้ต้องเรียกคืนภายในกำหนดสองปี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดบริษัทลูกหนี้ เมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๐๐ แต่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ทวงถามหนี้จากผู้ร้องเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๑๐ ล่วงเลยเวลามา ๑๐ ปีแล้วนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เงินที่บริษัทผู้ล้มละลายมอบให้ผู้ร้องซึ่งเป็นคนของบริษัทเองนำไปใช้จ่ายในการก่อสร้างที่บริษัทรับเหมาทำ หาเข้าลักษณะเป็น”ค่าที่ได้ออกเงินทดรองไป” ตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๔ ไม่ ดังนั้น หนี้รายนี้จึงมิใช่หนี้ที่มีอายุความสองปี หรือห้าปีตามที่บัญญัติไว้ในบทมาตราดังกล่าว หากเป็นหนี้ที่มีอายุความสิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๖๔ เมื่อนับจากวันที่บริษัทผู้ล้มละลายจ่ายเงินให้ผู้ร้องจนถึงวันที่เจ้าพนักงานพิทักษ์เรียกร้องให้ผู้ร้องชำระหนี้ยังไม่ถึงสิบปี สิทธิเรียกร้องของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงยังไม่ขาดอายุความ
ส่วนฎีกาให้ข้อเท็จจริงนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยแล้วฟังว่า ผู้ร้องยังคงเป็นหนี้บริษัทผู้ล้มละลายอยู่อีก ๑,๒๔๘,๓๗๙.๓๖ บาท
พิพากษายืน

Share