แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การขายอสังหาริมทรัพย์ในทางการค้าก่อนวันที่ 5 พฤศจิกายน2502 ต้องพิจารณาตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร(ฉบับที่ 10) พ.ศ.2496 มาตรา 40 ซึ่งต้องคำนึงถึงค่ารายปีของสถานที่ประกอบการค้าและเสียภาษีตามยอดเงินรายรับส่วนการค้าตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน 2502 ตลอดมา ต้องพิจารณาตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่16) พ.ศ.2502 มาตรา 38 จึงไม่ต้องคำนึงถึงค่ารายปีหรือจำนวนเงินซึ่งสถานการค้าสมควรให้เช่าได้ในปีหนึ่งๆนั้นอีก
โจทก์ซื้อที่ดินเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2485 จำนวน 6 โฉนด เนื้อที่ 39 ไร่ ราคา 113,996 บาท ต่อมาปีเศษ โจทก์ยื่นคำร้องขอรวมที่ดินทั้งหมดนี้เข้าเป็นแปลงเดียวกัน เมื่อเจ้าพนักงานจัดทำให้เสร็จแล้ว ได้ขอแบ่งแยกเป็นที่ดินแปลงย่อยๆ รวม 24 แปลงโจทก์ตัดถนนผ่านที่ดินกว้าง 10 เมตร เป็นถนนคอนกรีตทำเสร็จเมื่อ พ.ศ.2496 และได้ขอต่อไฟฟ้าและน้ำประปาเข้าที่ดินทั้งหมดและในปี พ.ศ.2496 นี้ ได้เริ่มขายที่ดินแปลงย่อยๆจนถึงพ.ศ.2504 จำนวน 20 แปลงเป็นเงิน 7,831,803 บาทตามพฤติการณ์เช่นนี้แสดงว่า โจทก์ประกอบธุรกิจการค้าหากำไรจึงมีหน้าที่เสียภาษีการค้าและภาษีเทศบาล
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ พ.ศ. 2485 โจทก์ได้ซื้อที่ดินรวม 6 โฉนดเนื้อที่ 39 ไร่ราคา 93,000 บาท โจทก์จำเป็นต้องใช้เงิน จึงแบ่งขายที่ดินเป็นแปลง ๆ ด้วยเงินสด เริ่มแต่ พ.ศ. 2496-2504 โจทก์ขายที่ดินประมาณ 30 ไร่เศษ เหลืออีกประมาณ 6 ไร่ โจทก์เห็นว่าเป็นการขายของเดิมจึงไม่ต้องเสียภาษีการค้าและภาษีเทศบาล เจ้าหน้าที่สรรพากรให้โจทก์เสียภาษี โจทก์ได้อุทธรณ์ว่าไม่ต้องเสียภาษี จำเลยได้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ โจทก์จึงขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์ไม่มีหน้าที่เสียภาษีตามที่จำเลยบังคับให้โจทก์เสีย
จำเลยให้การว่า โจทก์ได้ที่ดินมาโดยการลงทุนและดำเนินการขายที่ดินเป็นทางการค้าหรือหากำไร เป็นการค้าตามมาตรา 78 แห่งประมวลรัษฎากรแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2496 และในการประกอบการค้านี้ โจทก์มีสถานที่ประกอบหรือดำเนินการอันเป็นสถานการค้ามีค่ารายปีเกินกว่า 120 บาท โจทก์จึงต้องเสียภาษีการค้าตามที่ได้ประเมินเรียกเก็บ ขอให้ศาลยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ทำการค้าที่ดินเพื่อหากำไร สำหรับจำนวนเงินภาษีนั้นโจทก์รับว่าคำนวณมาถูกต้อง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การที่โจทก์ซื้อและขายที่ดินไปนี้ไม่อาจฟังได้ว่า โจทก์ซื้อที่ดินมาทำการค้าหากำไร และการขายก็ไม่ใช่ธุรกิจการพาณิชย์หรือเป็นอาชีพของโจทก์ พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าโจทก์ไม่มีหน้าที่เสียภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาล
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ขายที่ดินในระหว่างวันที่ 5 ตุลาคม 2496ถึง 15 มีนาคม 2504 ต้องแยกพิจารณาตามกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะนั้นที่ดินแปลงที่โจทก์ขายก่อนวันที่ 5 พฤศจิกายน 2502 ต้องพิจารณาตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ.2496 มาตรา 40 บัญญัติรวมความว่า บุคคลที่ประกอบการค้าตามประเภทที่กำหนดในบัญชีอัตราภาษีการค้าอันมีค่ารายปี จำนวนเงินซึ่งสถานการค้าสมควรให้เช่าได้ในปีหนึ่ง ๆ ตั้งแต่ 120 บาทขึ้นไป ถ้าได้ประกอบการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าแล้ว มีหน้าที่เสียภาษีการค้า เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินเรียกเก็บภาษีการค้าในอัตราร้อยละ 3 ของยอดเงินรายรับ โดยอยู่ในอำนาจหน้าที่และการควบคุมของกรมสรรพากร ในปัญหาเรื่องสถานการค้านั้น ปรากฏตามคำรับของโจทก์แล้ว เจ้าพนักงานประเมินค่ารายปีของสถานที่ประกอบการค้าว่าค่ารายปีเป็นเงิน 600 บาท โดยถือว่าตึกแถวเลขที่ 4 เลขใหม่ 630 ซึ่งโจทก์อยู่อาศัยนั้นโจทก์ใช้เป็นสถานที่ประกอบการค้า เพราะผู้ซื้อบางรายเคยไปติดต่อกับโจทก์ที่นั่น ความข้อนี้โจทก์มิได้คัดค้าน จึงฟังได้ว่าโจทก์มีสถานการค้าที่ตึกนั้นอันมีค่ารายปีรวมกันตั้งแต่ 120 บาทขึ้นไป
สำหรับที่ดินแปลงที่โจทก์ขายตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน 2502ตลอดมา ต้องพิจารณาตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร(ฉบับที่ 16) พ.ศ. 2502 มาตรา 38 ซึ่งให้ยกเลิกความในมาตรา 78แห่งประมวลรัษฎากรซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2496 จึงไม่ต้องคำนึงถึงค่ารายปีหรือจำนวนเงินซึ่งสถานการค้าสมควรให้เช่าได้ในปีหนึ่ง ๆนั้นอีก
ตามมาตรา 78 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2496และพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 16) พ.ศ.2502 มาตรา 37 “การค้า” หมายความว่า การประกอบหรือดำเนินกิจการอันเกี่ยวกับการธุรกิจหรือการอาชีพตามประเภทที่กำหนดไว้ในบัญชีอัตราภาษีการค้าท้ายหมวดนี้ ซึ่งระบุการขายอสังหาริมทรัพย์รวมอยู่ด้วย ผู้ประกอบการค้ามีหน้าที่เสียภาษีในอัตราร้อยละ 3 โดยถือรายรับเป็นยอดเงินที่ต้องคำนวณเพื่อเสียภาษี (บัญชีอัตราภาษีการค้าหมายเลข 20 ท้ายพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร(ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2496)
ข้อเท็จจริงแห่งคดีนี้ฟังได้ตามที่โจทก์จำเลยแถลงรับกัน ดังได้ยกขึ้นกล่าวแล้วข้างต้น กล่าวโดยสรุป พฤติการณ์ของโจทก์มีดังนี้วันที่ 25 สิงหาคม 2485 โจทก์ซื้อที่ดินคราวเดียวกัน 6 โฉนดเนื้อที่ทั้งหมด 39 ไร่ 81 ตารางวา ราคารวมทั้งสิ้น 113,996 บาทต่อมาปีเศษ โจทก์ยื่นคำร้องขอรวมที่ดินทั้งหมดนี้เข้าเป็นแปลงเดียวกัน เมื่อเจ้าพนักงานที่ดินจัดทำให้แล้ว ในวันเดียวกันนั้นโจทก์ยื่นคำร้องขอแบ่งแยกโฉนดที่ดินรวมนั้นออกเป็นแปลงเล็ก ๆ รวม 24 แปลงโจทก์ตัดถนนผ่านที่ดินกว้าง 10 เมตร เพื่อเป็นทางออกของที่ดินที่แบ่งแยก และโจทก์ได้อุทิศให้เป็นถนนสาธารณประโยชน์ เป็นถนนคอนกรีตใช้ทุนทรัพย์ของโจทก์ทั้งสิ้น ทำเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2496 ในปีเดียวกันนี้โจทก์ขอต่อไฟฟ้าและน้ำประปาเข้าที่ดินทั้งหมด โดยโจทก์ออกเงินผู้เดียว การสร้างถนนดังกล่าวนี้โจทก์ต้องใช้เงินเป็นจำนวนประมาณหนึ่งแสนบาท โจทก์ออกโฉนดสำหรับถนนดังกล่าวโดยเฉพาะ คือโฉนดเลขที่ 488 (เอกสาร ล.22) ส่วนการต่อไฟฟ้าและน้ำประปาเข้าไปในที่ดินที่แบ่งแยกนี้ โจทก์ต้องสิ้นเงินไปอีกประมาณ 11,000 บาท (รายงานกระบวนพิจารณาของศาลแพ่ง ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2509) โจทก์เริ่มขายที่ดินแปลงเล็ก ๆ เหล่านั้นตั้งแต่ใน พ.ศ. เดียวกับที่โจทก์สร้างถนนเสร็จ จนถึง พ.ศ. 2504 รวมที่ดินที่โจทก์ขาย 20 แปลง ได้เงินรวมทั้งสิ้น 7,831,803 บาท และยังมีที่ดินเหลือเป็นของโจทก์อีก 4 โฉนด เนื้อที่ดิน 6 ไร่เศษ เมื่อหักเอาราคาที่ดินทั้งสิ้นที่โจทก์ซื้อมา 113,996 บาทออกแล้ว โจทก์ได้เงินมากขึ้น 7,717,807 บาท ทั้งนี้ ไม่คิดถึงที่ดินเหลือเป็นของโจทก์อยู่อีก6 ไร่เศษดังกล่าวแล้วข้างต้น โจทก์ขายที่ดิน 20 แปลงนี้ติดต่อกันเรื้อยมาตั้งแต่ พ.ศ. 2496 ถึง พ.ศ. 2504 โดยโจทก์มีสถานที่ประกอบการค้าที่ตึกเลขที่ 4 เลขใหม่ 630 และมีค่ารายปีเกินกว่า 120 บาทการกระทำต่าง ๆ ของโจทก์ดังกล่าวนี้ประกอบกัน แสดงว่าโจทก์ประกอบธุรกิจการค้าหากำไร โจทก์มีหน้าที่เสียภาษีการค้าและภาษีเทศบาลตามคำพิพากษาศาลแพ่ง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ซื้อที่ดินดังกล่าวมาเพื่อใช้ปลูกบ้านอยู่อาศัยและทำสวนผัก แต่โจทก์ยอมรับในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้นว่า นับตั้งแต่โจทก์ซื้อที่ดิน 6 แปลงนี้แล้ว โจทก์ไม่เคยปลูกเรือนหรือไปอาศัยอยู่ในที่ดินที่ซื้อขาย ไม่ว่าในที่ดินที่ขายไปแล้วหรือที่ดินที่ยังคงเหลืออยู่ขณะนั้น (รายงานกระบวนพิจารณาศาลแพ่งลงวันที่ 21 มกราคม 2509) ข้ออ้างของโจทก์จึงฟังไม่ขึ้น
ข้อที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่านับตั้งแต่โจทก์ซื้อที่ดินมาจนกว่าจะถึงวันที่โจทก์ขายที่ดินแปลงย่อยแปลงแรก เป็นระยะเวลาห่างกันถึง 11 ปี แสดงว่าโจทก์มิได้ค้าที่ดินนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยเพราะโจทก์ใช้เวลาดังกล่าวนั้นประกอบธุรกิจต่าง ๆ ในการค้าที่ดินเริ่มด้วยการซื้อที่ดินหลายโฉนดมาขอรวมเข้าเป็นโฉนดเดียวแล้วขอแบ่งแยกออกเป็นโฉนดแปลงเล็ก ๆ ถึง 24 แปลง โจทก์สร้างถนนคอนกรีตกว้าง 10 เมตร ยาวตลอดสุดที่ดิน และสร้างไฟฟ้าประปาผ่านที่ดินทุกแปลง การกระทำทั้งหมดนี้รวมกันเรียกได้ว่าเป็นการประกอบธุรกิจสิ้นเปลืองเวลาและเงินลงทุนเป็นจำนวนมากแสดงว่าเป็นการประกอบธุรกิจการค้าเพื่อหากำไร ยากที่จะกระทำให้สำเร็จลุล่วงไปได้ในระยะเวลาอันสั้น มิใช่เป็นกรณีที่โจทก์ซื้อไว้แล้วเป็นเวลานาน โจทก์จึงได้แบ่งขายดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นว่า ในการวินิจฉัยปัญหานี้จำต้องพิจารณาการกระทำต่าง ๆ ของผู้ค้าประกอบไปด้วยศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ฎีกาจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลแพ่งให้โจทก์เสียค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายในชั้นอุทธรณ์และฎีกาแทนจำเลย รวมสองพันห้าร้อยบาท