คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 377/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเช่าที่ดินของโจทก์ปลูกห้องแถว เมื่อเลิกสัญญาต้องรื้อไปห้องแถวเป็นของจำเลย ผู้เช่าห้องแถวจำเลยเป็นบริวารอยู่ในที่ดินของโจทก์โดยอาศัยอำนาจของจำเลย แต่ไม่ใช่ผู้เช่าช่วงที่ดิน แม้โจทก์จะรู้เห็นยินยอมในการเช่าห้องแถว ผู้เช่าห้องแถวก็อ้างความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันฯ ยันโจทก์ไม่ได้

ย่อยาว

คดีเรื่องนี้ เดิมจำเลยเช่าที่ดินของโจทก์โฉนดที่ 245 ตำบลสวนกวางตุ้ง อำเภอป้อมปราบ จังหวัดพระนคร เพื่อปลูกสร้างโรงสำหรับเก็บรถลาก และห้องแถว 6 ห้อง ต่อมาเลิกกิจการเรื่องรถลากไปแล้ว ได้เปลี่ยนแปลงโรงสำหรับเก็บรถลากนั้นโดยกั้นเป็นห้อง ๆ ทั้งชั้นล่างและชั้นบน และให้คนเช่าอยู่ รวมทั้งห้องแถว 6 ห้อง นั้นด้วย ครั้นครบกำหนดสัญญาเช่าแล้ว โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่า และให้จำเลยรื้อสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์จำเลยไม่ยอมออก โจทก์จึงนำคดีมาฟ้อง ศาลพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินรายพิพาท และให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของจำเลยออกไปด้วย คดีถึงที่สุดแล้ว แต่จำเลยยังรื้อสิ่งปลูกสร้างไปไม่ได้ เพราะผู้ร้องรวม 10 คน กับคนอื่นอีกสองคน ซึ่งเป็นคนเช่าห้องของจำเลยอยู่ ไม่ยอมออกจากห้องเช่า

ชั้นบังคับคดี โจทก์ร้องขอให้ศาลบังคับผู้ร้องทั้ง 10 คน กับคนอื่นอีกสองคนนั้นออกจากที่ดินของโจทก์ เพราะเป็นบริวารของจำเลย

ผู้ร้องทั้ง 10 คน ยื่นคำร้องโต้แย้งว่า แต่ละรายต่างได้เช่าห้องจากจำเลย และใช้เป็นที่อยู่อาศัยตลอดมา ย่อมได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน

คนอื่นอีกสองคนไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องโต้แย้งประการใดในชั้นนี้

ชั้นไต่สวน โจทก์และผู้ร้องรับรองข้อเท็จจริงกันว่า ในการที่จำเลยให้ผู้ร้องเช่าห้องของจำเลยในที่ดินของโจทก์ตามคำร้องของผู้ร้องนั้น โจทก์รู้เห็นยินยอมด้วย และทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจสืบพยานต่อไป

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การที่ผู้ร้องเข้ามาใช้ที่ดินของโจทก์ได้ก็โดยอาศัยสิทธิของจำเลย ต้องถือว่าเป็นบริวารของจำเลย เมื่อศาลมีคำบังคับขับไล่จำเลยแล้ว คำบังคับนั้นก็ใช้บังคับผู้ร้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(1) ข้ออ้างที่ว่า การเช่ารายนี้ โจทก์รู้เห็นยินยอมด้วย แม้จะเป็นความจริงก็ไม่ทำให้ผู้ร้องเกิดอำนาจพิเศษแสดงว่า ผู้ร้องไม่ใช่บริวารของจำเลยแต่อย่างใด ผู้ร้องจะอ้างพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันมาใช้กับโจทก์ ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินไม่ได้ เพราะผู้ร้องไม่ใช่ผู้เช่าหรือผู้เช่าช่วงที่ดินของโจทก์ ผู้ร้องมีฐานะเป็นบริวารของจำเลย จึงให้ยกคำร้องของผู้ร้องเสีย

ผู้ร้องทั้ง 10 คน อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ผู้ร้องทั้ง 10 คน ฎีกาต่อมาในปัญหาข้อกฎหมายว่า ผู้ร้องเช่าอยู่อาศัย โดยโจทก์เองรู้เห็นยินยอม จึงได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า จะถือว่าผู้ร้องเป็นบริวารของจำเลยไม่ได้

ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาแล้ว เห็นว่า โจทก์เป็นแต่เพียงเจ้าของที่ดิน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับห้องแถวที่ปลูกสร้างขึ้นนั้นประการใด ห้องแถวเป็นของจำเลยต่างหาก ปลูกสร้างขึ้นในที่ดินของโจทก์โดยสัญญาเช่า ซึ่งเมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแล้วจำต้องรื้อออกไปจากที่ดินของโจทก์โดยสิ้นเชิง ผู้ร้องเข้าไปเช่าห้องแถวของจำเลยอยู่ ไม่ได้เช่าที่ดินของโจทก์ เห็นได้ชัดว่าเป็นการอาศัยสิทธิของจำเลยเท่านั้นเอง จึงตกอยู่ในฐานะที่เป็นบริวารของจำเลย ตามความหมายใน มาตรา 142(1) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โจทก์ไม่ใช่เจ้าของห้องแถว ย่อมไม่มีอำนาจที่จะคัดค้านในการที่จำเลยจะให้ผู้ใดเช่าห้องแถวของจำเลยเองดังนั้น แม้เมื่อผู้ร้องเข้าเช่าอยู่ในห้องของจำเลยนั้น โจทก์จะได้รู้เห็นยินยอมก็ตาม ก็มิได้กระทำให้ฐานะของผู้ร้องเปลี่ยนแปลงไปประการใด และไม่กระทำให้ผู้ร้องกลายเป็นผู้เช่าหรือผู้เช่าช่วงที่ดินของโจทก์ขึ้นมาได้ เพราะไม่มีนิติสัมพันธ์ประการใดต่อกัน จึงไม่มีสิทธิที่จะยกพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันมาใช้ยันต่อโจทก์

เหตุฉะนี้ ศาลฎีกาจึงพิพากษายืน ให้ยกฎีกาของผู้ร้อง และให้ผู้ร้องเสียค่าทนายแก่โจทก์ 100 บาท

Share