แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 69 วรรคสาม ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2528 มาตรา 6 นั้น เป็นการบัญญัติกฎหมายขยายความในมาตรา 69 วรรคสอง ซึ่งเป็นเรื่องของการจำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 2 มิได้ประสงค์ให้ใช้กับมาตรา69 วรรคแรกซึ่งเป็นเรื่องมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 2 ด้วย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีมูลฝิ่น ๑ ก้อนเล็กหนัก ๑.๖ กรัมไว้ในครอบครองกับเสพฝิ่นอีกจำนวนหนึ่งเข้าสู่ร่างกาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๔, ๗, ๘, ๑๗, ๕๘, ๖๙, ๙๑,๑๐๒ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๒๘ มาตรา ๔, ๖, ๑๐ประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๙๑ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๖) พ.ศ.๒๕๒๖ มาตรา ๔ ริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๔, ๗, ๘, ๑๗, ๕๘, ๖๙, ๙๑, ๑๐๒พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๒๘ มาตรา ๔, ๖, ๑๐ประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๙๑ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๖) พ.ศ.๒๕๒๖ มาตรา ๔ ฐานมีมูลฝิ่นจำคุกหกเดือนฐานเสพฝิ่นจำคุกหกเดือนรวมแล้วให้ลงโทษจำคุกจำเลยไว้มีกำหนดหนึ่งปีจำเลยรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๗๘ กึ่งหนึ่งคงลงโทษจำคุกจำเลยหกเดือนของกลางริบ
โจทก์อุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นลงโทษต่ำกว่ากฎหมาย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ในปัญหาว่าศาลจะต้องพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๖๙ วรรคสาม แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๒๘ มาตรา ๖ ซึ่งมีโทษสูงกว่ามาตรา ๖๙ วรรคแรกหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๖๙ วรรคแรกระบุโทษของผู้มีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท ๒ อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา ๑๗ ให้จำคุกไม่เกินห้าปีและปรับไม่เกินห้าหมื่นบาทถ้าเป็นการจำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท ๒ อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา ๑๗แล้วมาตรา ๖๙ วรรคสองระบุโทษให้จำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปีและปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท
ส่วนมาตรา ๖๙ วรรคสามซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๒๘ มาตรา ๖ บัญญัติว่าถ้ายาเสพติดให้โทษซึ่งเป็นวัตถุแห่งการกระทำความผิดเป็นมอร์ฟีน ฝิ่น หรือโคคาอีน มีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ไม่เกินหนึ่งร้อยกรัมผู้กระทำผิดต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงยี่สิบปีและปรับตั้งแต่สามหมื่นบาทถึงสองแสนบาท จึงเห็นได้ว่าพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ๆ ได้กำหนดโทษตามลำดับความร้ายแรงแห่งการกระทำผิด ถ้าจะถือว่าผู้ใดมีฝิ่นไว้ในครอบครองอันเป็นความผิดตามมาตรา๖๙ วรรคแรก ต้องลงโทษตามมาตรา ๖๙ วรรคสามที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้ว ผู้นั้นก็จะได้รับโทษหนักกว่าผู้จำหน่ายฝิ่นหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามมาตรา ๖๙ วรรคสอง ทั้งที่เป็นการกระทำผิดที่ร้ายแรงกว่าการมีฝิ่นไว้ในครอบครองโดยมิได้จำหน่ายหรือมิได้มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเสียอีก ที่โจทก์กล่าวในฎีกาว่าถ้ามาตรา ๖๙ วรรคสามที่แก้ไขใหม่ประสงค์จะให้ขยายความถึงวรรคสองโดยเฉพาะก็น่าจะบัญญัติไว้ทำนองเดียวกับมาตรา ๗๖ วรรคสามและวรรคสี่ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ(ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๒๘ เช่นเดียวกันนั้นเห็นว่าถ้ามาตรา ๖๙ วรรคสามที่แก้ไขใหม่ประสงค์จะให้ใช้บังคับกับมาตรา ๖๙ วรรคแรกแล้วก็น่าจะมีบทบัญญัติทำนองเดียวกับมาตรา ๗๖ วรรคสาม ที่ใช้ถ้อยคำว่า ‘ถ้ายาเสพติดให้โทษซึ่งเป็นวัตถุแห่งการกระทำผิดดังกล่าวมาในวรรคหนึ่ง…….’ เมื่อถ้อยคำในมาตรา ๖๙ วรรคสามมิได้ระบุไว้เช่นนี้ก็ต้องถือว่า มาตรา ๖๙ วรรคสาม มิได้ประสงค์ให้ใช้กับมาตรา ๖๙ วรรคแรก ทั้งมาตรา ๗๖ วรรคสามและวรรคสี่ที่แก้ไขใหม่ก็กำหนดโทษตามลำดับความร้ายแรงแห่งการกระทำผิดเช่นกันกล่าวคือถ้ามีพืชกระท่อมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมีโทษสูงกว่ามีพืชกระท่อมไว้ในครอบครองโดยมิได้มีไว้เพื่อจำหน่าย ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่ามาตรา ๖๙ วรรคสาม เป็นการบัญญัติกฎหมายขยายความมาตรา ๖๙ วรรคสอง ซึ่งเป็นเรื่องการจำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท ๒ ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยชอบด้วยกฎหมายแล้วนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.