คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2585/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ผู้รับประกันภัยฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยอ้างว่ารถคันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ถูกรถคันที่จำเลยรับประกันภัยไว้ชนได้รับความเสียหาย จำเลยก็ได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากโจทก์อันเนื่องมาจากการที่รถเกิดชนกันในเหตุครั้งเดียวกันนี้ด้วยศาลชั้นต้นพิจารณาคดีรวมกันแล้วฟังว่า เหตุที่รถชนกันเกิดเพราะความประมาทของผู้ขับรถคันที่จำเลยรับประกันภัยไว้แต่ฝ่ายเดียวพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ และยกฟ้องคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ แม้คดีหลังนี้จะต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงแต่ก็ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายใดที่ให้ถือว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดีหลังดังกล่าวนี้มีผลผูกพันคู่ความในคดีแรกที่คู่ความมีสิทธิอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง หรืออีกนัยหนึ่งไม่มีบทมาตราใดให้ศาลอุทธรณ์จำต้องถือข้อเท็จจริงในคดีที่ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์จำเลยจึงมีสิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า ผู้ขับรถคันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ก็มีส่วนประมาทด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์รับประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุ จำเลยรับประกันภัยรถยนต์คันที่ชนรถโจทก์ไว้ในลักษณะประกันภัยค้ำจุนผู้ขับรถฝ่ายจำเลยขับรถโดยประมาทชนรถฝ่ายโจทก์เสียหาย โจทก์จัดการซ่อมแซมรถคันที่รับประกันภัยไว้แล้ว จึงรับช่วงสิทธิขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยให้การว่า เหตุมิได้เกิดจากความประมาทของผู้ขับรถฝ่ายจำเลย แต่เป็นเพราะความประมาทของผู้ขับรถฝ่ายโจทก์และจำเลยได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากโจทก์อันเนื่องมาจากการที่รถเกิดชนกันในเหตุครั้งเดียวกันนี้ด้วย ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีรวมกันแล้วพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ และยกฟ้องคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยมีว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดีหลังที่ฟังว่านายเช้า บุญจันทร์เป็นฝ่ายขับขี่รถยนต์โดยประมาทฝ่ายเดียว มีผลผูกพันจำเลยในคดีนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 หรือไม่ เห็นว่าถึงแม้คดีสองสำนวนนี้จะรวมพิจารณาพิพากษา และศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่าเหตุคดีนี้เกิดเพราะความประมาทของนายเช้า บุญจันทร์ฝ่ายเดียว พิพากษาในคดีหลังให้ยกฟ้องโจทก์ (คือจำเลยในชั้นรวมพิจารณาพิพากษา) และคดีต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ก็ตาม แต่ก็มิได้มีบทมาตราใดบัญญัติให้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริงในคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์มีผลผูกพันคู่ความในคดีที่คู่ความมีสิทธิอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้ หรืออีกนัยหนึ่งไม่มีบทมาตราใดให้ศาลอุทธรณ์จำต้องถือข้อเท็จจริงในคดีที่ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ ดังนั้น จำเลยจึงมีสิทธิอุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้ว่านายเปีย ทองชาติ ผู้ขับขี่รถยนต์ฝ่ายโจทก์ก็มีส่วนประมาทด้วย ซึ่งศาลอุทธรณ์ชอบที่จะวินิจฉัยพยานหลักฐานไปตามสำนวน การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีนี้เกิดเพราะความประมาทของคนขับรถฝ่ายจำเลยเพียงฝ่ายเดียว คนขับรถฝ่ายโจทก์มิได้มีส่วนประมาทด้วย”โดยถือตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีหลัง ดังนั้น การที่จำเลยอุทธรณ์ว่ารถฝ่ายจำเลยมิได้ประมาท แต่เป็นเพราะรถฝ่ายโจทก์ประมาท จึงรับฟังไม่ได้นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษาแก้ เรื่องค่าเสียหาย

Share