แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นไม่แจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 แก่จำเลยที่ 2 เพราะส่งหมายนัดและสำเนาอุทธรณ์แก่จำเลยที่ 2 ไม่ได้เนื่องจากรื้อบ้านไปแล้ว โดยเห็นว่ามีพฤติการณ์หลบหนี ให้ออกหมายจับจำเลยที่ 2 มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 เมื่อปรากฏว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยที่ 2 และปรับโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ จำเลยที่ 2 ชำระค่าปรับจึงเป็นการปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นครบถ้วนไม่มีเหตุที่จำเลยที่ 2 จะหลบหนีเพื่อไม่ให้ถูกลงโทษตามกฎหมาย ดังนั้นการที่จำเลยที่ 2 ย้ายบ้านไม่น่าจะเป็นเหตุให้สงสัยว่าจำเลยที่ 2 หลบหนี ทั้งจำเลยที่ 2 และครอบครัวจำเป็นต้องออกจากบ้านพักเลขที่ดังกล่าวตามคำสั่งของทางราชการ แต่ยังคงอาศัยอยู่ในบริเวณนั้นโดยเปิดเผยไม่ได้ปกปิดซ่อนเร้นที่จะแสดงให้เห็นว่ามีเจตนาจะหลบหนี ที่ศาลชั้นต้นออกหมายจับจำเลยที่ 2 และอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ลับหลังจำเลยที่ 2 จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ ศาลฎีกาชอบที่จะเพิกถอนเสียตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง, 75 วรรคหนึ่ง, 76 วรรคสอง คงจำคุกคนละ 3 ปี ปรับคนละ 30,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี โจทก์อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์และให้ส่งสำเนาอุทธรณ์แก่จำเลยทั้งสอง ถ้าไม่มีผู้รับโดยชอบให้ปิด ต่อมาเจ้าหน้าที่รายงานผลการส่งหมายนัดว่า ไม่พบบ้านจำเลยที่ 2 ตามหมายนัด สอบถามคนบ้านใกล้เคียงแล้วแจ้งว่า จำเลยที่ 2 ย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้วและบ้านหลังดังกล่าวได้รื้อถอนไปแล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่ากรณีส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 2 ไม่ได้เพราะหาตัวไม่พบ งดส่งสำเนาอุทธรณ์ให้รวบรวมถ้อยคำสำนวนส่งไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 2 เพื่อพิจารณา ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิจารณาแล้ว พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่รอการลงโทษให้แก่จำเลยทั้งสอง ไม่ปรับและไม่คุมความประพฤติจำเลยทั้งสอง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 โดยแจ้งกำหนดนัดให้โจทก์และจำเลยที่ 1 ทราบ ส่วนจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ส่งหมายนัดและสำเนาอุทธรณ์ไม่ได้เนื่องจากรื้อบ้านไปแล้ว จำเลยที่ 2 มีพฤติการณ์หลบหนี ให้ออกหมายจับเมื่อไม่ได้ตัวจำเลยที่ 2 มาภายใน 1 เดือนนับแต่วันออกหมายจับ จึงได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ลับหลังจำเลยที่ 2 โดยถือว่าจำเลยที่ 2 ทราบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ตามกฎหมายแล้ว และมีคำสั่งให้ออกหมายจับจำเลยที่ 2 เพื่อให้ได้ตัวมาปฏิบัติตามคำพิพากษาต่อไปต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมตัวจำเลยที่ 2 ได้ตามหมายจับศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ออกหมายจำคุกคดีถึงที่สุดแก่จำเลยที่ 2
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนและมีคำสั่งให้พิจารณาคดีนี้ใหม่ด้วย ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งให้รวบรวมถ้อยคำสำนวนส่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 เพื่อพิจารณา
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 3 ปี และปรับ 30,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี จำเลยที่ 2 ชำระค่าปรับจึงเป็นการปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นครบถ้วนไม่มีเหตุที่จำเลยที่ 2 จะหลบหนีเพื่อไม่ให้ถูกลงโทษตามกฎหมาย ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2 ย้ายบ้านไม่น่าจะเป็นเหตุให้สงสัยว่า จำเลยที่ 2 หลบหนี ทั้งข้อเท็จจริงได้ความตามทางไต่สวนว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 พักอาศัยอยู่ที่บ้านพักของทางราชการทหารเรือฐานทัพเรือสัตหีบเนื่องจากจ่าเอกสุรเดช สามีจำเลย รับราชการเป็นทหารเรือ หลังจากเกิดเหตุทางราชการมีคำสั่งให้จ่าเอกสุรเดชหมดสิทธิการเข้าพักอาศัยในบ้านพักของทางราชการดังกล่าว จ่าเอกสุรเดช โดยจำเลยที่ 2 ส่งบ้านพักคืนแก่ทางราชการทหารเรือเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2542 ไปปลูกกระต๊อบเป็นที่อยู่อาศัยในที่ดินของทางราชการห่างจากบ้านเดิมประมาณ 500 เมตร เห็นได้ว่าจำเลยที่ 2 และครอบครัวจำเป็นต้องออกจากบ้านพักดังกล่าวตามคำสั่งของทางราชการ แต่ยังคงอาศัยอยู่ในบริเวณนั้นโดยเปิดเผยไม่ได้ปกปิดซ่อนเร้นที่จะแสดงให้เห็นว่ามีเจตนาจะหลบหนีแต่อย่างใด ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นมิได้ออกหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้จำเลยที่ 2 ทราบก่อน แต่ได้ออกหมายจับจำเลยที่ 2 ทันที และอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ลับหลังจำเลยที่ 2 จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 182 วรรคสาม ประกอบมาตรา 215 ศาลฎีกาชอบที่จะเพิกถอนเสียได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ลับหลังจำเลยที่ 2 ให้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้จำเลยที่ 2 ฟังใหม่ แล้วดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป