แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนเชิดของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ในการสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ตามฟ้องหรือไม่จึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 3 ได้แสดงตนเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 หรือไม่ แม้ฟ้องโจทก์จะกล่าวว่าจำเลยที่ 3 แสดงตนเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1มาด้วยก็ตาม แต่ศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทในชั้นชี้สองสถานไว้ และโจทก์ก็มิได้คัดค้าน ถือได้ว่าโจทก์สละประเด็นข้อนี้แล้ว ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่เป็นตัวแทนเชิดของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ซึ่งเป็นตัวการ จำเลยที่ 3จึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าสินค้าต่อโจทก์.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดมีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2525จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้เชิดจำเลยที่ 3 ให้แสดงตนเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ได้แสดงตนเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 โดยเข้าทำสัญญาซื้อผลิตภัณฑ์คอนกรีตไปจากโจทก์และเป็นหนี้อยู่ 374,717 บาท กับดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 7,699 บาท ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน382,416 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปีในต้นเงิน374,717 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่เคยทำสัญญาซื้อขายผลิตภัณฑ์คอนกรีตกับโจทก์ และไม่เคยเชิดจำเลยที่ 3ให้แสดงตนเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 อ้างชื่อจำเลยที่ 1 เข้าทำนิติกรรมกับโจทก์โดยพลการ ตราประทับในเอกสารหมายเลข 3-4 ท้ายฟ้องไม่ใช่ของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ไม่เคยทำสัญญารับจ้างปรับปรุงชุมชนแออัดวัดโพธิ์แก้วกับการเคหะแห่งชาติทั้งไม่เคยมอบอำนาจให้บุคคลอื่นเข้ากระทำการดังกล่าวได้
จำเลยที่ 3 ให้การว่า ไม่รับรองว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลหรือไม่ ลายมือชื่อผู้มอบอำนาจในเอกสารท้ายฟ้องไม่ใช่ลายมือชื่อนายเทพรัตน์ เหลืองสุวรรณ จำเลยที่ 3 ไม่ได้เป็นหุ้นส่วนของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และทำสัญญาซื้อขายตามเอกสารหมายเลข 3-4 ท้ายฟ้องในนามจำเลยที่ 1ที่ 2 โจทก์ชอบที่จะเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ 1 ที่ 2 ซึ่งเป็นตัวการ จำเลยที่ 3 ได้ส่งมอบเสาเข็มและแผ่นพื้นคอนกรีตคืนให้โจทก์ไปบางส่วน เพราะไม่ถูกต้องตามแบบ คิดเป็นเงินประมาณ 60,000 บาทจำเลยที่ 3 ไม่เคยสั่งซื้อเพิ่มและลดผลิตภัณฑ์คอนกรีตจากโจทก์เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 5 และ 6 โจทก์ทำขึ้นเอง ค่าเสียหายตามฟ้องโจทก์ไม่ถูกต้อง โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี เรียกได้ไม่เกินร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
ระหว่างพิจารณาโจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยจำเลยที่ 1 ที่ 2 ยอมรับผิดชำระเงินให้โจทก์186,670 บาท โจทก์คงดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 3 ต่อไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 382,416 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปีในต้นเงิน 382,416 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้รับผิดไม่เกิน 186,670 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้จำเลยที่ 3 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์ 2,000 บาท
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ สำหรับจำเลยที่ 3 ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 3ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้ไปแสดงตนต่อโจทก์ขอซื้อผลิตภัณฑ์คอนกรีต 2 ครั้ง ได้ทำสัญญาซื้อขายกันไว้ตามสัญญาซื้อขายผลิตภัณฑ์คอนกรีตเอกสารหมาย จ.4,จ.5 มีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่จำเลยที่ 3 ได้แสดงตนเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ที่ 2 มิใช่เป็นเพียงตัวแทนเชิดของจำเลยที่ 1 อย่างเดียว จำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1054 หรือไม่นั้นศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยที่ 3เป็นตัวแทนเชิดของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ในการสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ จึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 3ได้แสดงตนเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 หรือไม่ แม้ฟ้องโจทก์จะกล่าวว่าจำเลยที่ 3 แสดงตนเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1มาด้วยก็ตาม แต่ศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทในชั้นชี้สองสถานไว้ และโจทก์ก็มิได้คัดค้านแต่อย่างใด ถือได้ว่าโจทก์สละประเด็นข้อนี้แล้ว ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนเชิดของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ซึ่งเป็นตัวการ จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าสินค้าต่อโจทก์
พิพากษายืน.