แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ฎีกาของจำเลยที่ว่าการกระทำความผิดของจำเลยเป็นกรรมเดียวแม้จะมิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลล่างทั้งสอง แต่เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย จำเลยจึงยกขึ้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 วรรคสอง,225
จำเลยใช้เหล็กทุบทำลายกระจกรถยนต์ 9 คัน ทั้งยังได้ลักทรัพย์และพยายามลักทรัพย์ในรถยนต์ทั้ง 9 คัน ด้วย แม้จำเลยอาจจะเมาสุราขาดสติเพียงครั้งเดียวและได้กระทำความผิดในคราวเดียวกัน แต่จำเลยได้กระทำต่อรถยนต์ถึง 9 คัน ซึ่งเป็นของผู้เสียหายคนละคนกัน โดยจำเลยกระทำความผิดทีละคันและคนละเวลากัน แม้จะเป็นเวลาที่ต่อเนื่องใกล้ชิดกัน แต่การกระทำความผิด ในรถยนต์แต่ละคันก็เป็นความผิดสำเร็จเด็ดขาดไปแล้ว และเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามที่ได้กระทำต่อรถยนต์ทุกคันมิใช่กรรมเดียว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยใช้เหล็ก 1 ท่อน ทุบทำลายกระจกรถยนต์และประตูรถยนต์ด้านหน้าซ้ายมือของรถยนต์หมายเลขทะเบียน กข – 3471 เชียงราย ซึ่งเป็นของนายสมบัติ วัชรินทร์ยานนท์ ขณะอยู่ในความครอบครองของนายสืบสกุล วัชรินทร์ยานนท์ ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งจอดไว้ที่ลานจอดรถยนต์ชั้นที่ 4 อาคารธนาเพลส เป็นเหตุให้กระจกรถยนต์และประตูรถยนต์คันดังกล่าวแตกและบุบเสียหายค่าเสียหายคิดเป็นเงิน 10,000 บาท อันเป็นการทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลและทรัพย์ภายในรถยนต์คันดังกล่าวแล้วจำเลยเปิดประตูรถยนต์คันดังกล่าวเข้าไปลักเอาวิทยุเทปติดรถยนต์ 1 เครื่อง ราคา 2,000 บาท ของผู้เสียหายที่ 1 ไปโดยทุจริต จำเลยใช้เหล็ก 1 ท่อน ทุบทำลายกระจกประตูรถยนต์ด้านหน้าซ้ายมือและตามประตูและตัวถังรถหลายแห่งของรถยนต์หมายเลขทะเบียน ภจ – 1979กรุงเทพมหานคร ของนางนงลักษณ์ ภัคตรนิกร ขณะอยู่ในความครอบครองของนางสาวโชติกานต์ พันธุ์เจริญ ผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งจอดไว้ที่ลานจอดรถยนต์ชั้นที่ 4 อาคารธนาเพลสเป็นเหตุให้กระจกประตูรถยนต์และตัวถังรถแตกและบุบเสียหาย ค่าเสียหายคิดเป็นเงิน12,000 บาท แล้วจำเลยเข้าไปรื้อค้นทรัพย์สินภายในรถยนต์คันดังกล่าว จำเลยใช้เหล็ก1 ท่อน ทุบทำลายกระจกประตูรถยนต์ด้านหน้าขวามือของรถยนต์หมายเลขทะเบียนพม – 8225 กรุงเทพมหานคร ของนางดรุณี ตั้งพร้อมพันธ์ ขณะอยู่ในความครอบครองของนางโสภิดา ตั้งพร้อมพันธ์ ผู้เสียหายที่ 3 ซึ่งจอดไว้ที่ลานจอดรถยนต์ชั้นที่ 4 อาคารธนาเพลส เป็นเหตุให้กระจกประตูรถยนต์คันดังกล่าวแตกเสียหายค่าเสียหายคิดเป็นเงิน8,000 บาท แล้วจำเลยเข้าไปรื้อค้นทรัพย์สินภายในรถยนต์คันดังกล่าว จำเลยใช้เหล็ก1 ท่อน ทุบทำลายกระจกประตูรถยนต์ด้านหน้าซ้ายมือและกระจกหน้าปัทม์รถยนต์หมายเลขทะเบียน ภน – 677 กรุงเทพมหานคร ของนางสาวอัชฌา อัชฌากุลกิจ ผู้เสียหายที่ 4 ซึ่งจอดไว้ที่ลานจอดรถยนต์ชั้นที่ 5 อาคารธนาเพลส เป็นเหตุให้กระจกประตูรถยนต์และกระจกหน้าปัทม์ดังกล่าวแตกเสียหาย ค่าเสียหายคิดเป็นเงิน 4,000 บาท อันเป็นการทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลและทรัพย์ แล้วจำเลยเปิดประตูรถยนต์คันดังกล่าวเข้าไปลักเอาไฟฉาย 1 กระบอก ราคา 30 บาท ของผู้เสียหายที่ 4 ไปโดยทุจริต จำเลยใช้เหล็ก 1 ท่อน ทุบทำลายกระจกประตูรถยนต์ด้านหน้าขวามือและประตูด้านหลังซ้ายมือของรถยนต์หมายเลขทะเบียน ภค – 6343 กรุงเทพมหานครของบริษัทมิดไนท์ออยล์ จำกัด ขณะอยู่ในความครอบครองของนางสาวมงคลศรีเจนจรัสกุล ผู้เสียหายที่ 5 ซึ่งจอดไว้ที่ลานจอดรถยนต์ชั้นที่ 6 อาคารธนาเพลสเป็นเหตุให้กระจกประตูรถยนต์แตกเสียหายประตูด้านหน้าขวามือและประตูด้านหลังซ้ายมือบุบค่าเสียหายคิดเป็นเงิน 12,000 บาท อันเป็นการทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลและทรัพย์ภายในรถยนต์คันดังกล่าว แล้วจำเลยเปิดประตูรถยนต์คันดังกล่าวเข้าไปลักเอาอัลบัมภาพจำนวน 4 เล่ม ราคา 2,000 บาท ปากกาเชฟเฟอร์ 1 ด้าม ราคา 750 บาทและเงินสดจำนวน 150 บาท ของผู้เสียหายที่ 5 ไปโดยทุจริต จำเลยใช้เหล็ก 1 ท่อนทุบทำลายกระจกด้านหน้าขวามือ กระจกมองข้างด้านขวามือของรถยนต์หมายเลขทะเบียน 8 ฐ – 4860 กรุงเทพมหานคร ของนางสาวนภศรี พัฒนเสถียรกุล ผู้เสียหายที่ 6ซึ่งจอดไว้ที่ลานจอดรถยนต์ชั้นที่ 6 อาคารธนาเพลส เป็นเหตุให้กระจกประตูรถยนต์แตกเสียหายค่าเสียหายคิดเป็นเงิน 1,500 บาท กระจกมองข้างด้านขวามือเสียหายค่าเสียหายคิดเป็นเงิน 4,000 บาท อันเป็นการทำอันตรายสิ่งกีดกั้น สำหรับคุ้มครองบุคคลและทรัพย์ภายในรถยนต์คันดังกล่าว แล้วจำเลยเปิดประตูรถยนต์คันดังกล่าวเข้าไปลักเอาเงินสดจำนวน 100 บาท ของผู้เสียหายที่ 6 ไปโดยทุจริต จำเลยใช้เหล็ก 1 ท่อนทุบทำลายกระจกประตูรถยนต์ด้านหน้าขวามือของรถยนต์หมายเลขทะเบียน 9 พ – 0772กรุงเทพมหานคร ของนายอนุชา ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา ผู้เสียหายที่ 7 ซึ่งนำไปจอดไว้ที่ลานจอดรถยนต์ชั้นที่ 6 อาคารธนาเพลส เป็นเหตุให้กระจกรถยนต์คันดังกล่าวแตกเสียหาย ค่าเสียหายคิดเป็นเงิน 5,000 บาท อันเป็นการทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลและทรัพย์ภายในรถยนต์คันดังกล่าว แล้วจำเลยเปิดประตูรถยนต์คันดังกล่าวเข้าไปลักเอาที่ล็อกพวงมาลัย 1 อัน ราคา 1,600 บาท ของผู้เสียหายที่ 7 ไปโดยทุจริต จำเลยงัดแงะทำให้เสียหายซึ่งประตูรถยนต์หมายเลขทะเบียน 2 อ – 9405กรุงเทพมหานคร ของนางมณีรัตน์ วิโรจนกูฏ ขณะอยู่ในความครอบครองของนางสาวรุจิรา จันทวิสูตร ผู้เสียหายที่ 8 ซึ่งนำไปจอดไว้ที่ลานจอดรถยนต์ชั้นที่ 7 อาคารธนาเพลส เป็นเหตุให้ประตูรถยนต์คันดังกล่าวบุบเสียหาย ค่าเสียหายคิดเป็นเงิน4,000 บาท และจำเลยใช้เหล็ก 1 ท่อน ทุบทำลายกระจกประตูหลังด้านซ้ายมือและงัดแงะที่ประตูรถยนต์ด้านขวามือของรถยนต์หมายเลขทะเบียน 6 ฐ – 4371กรุงเทพมหานคร ของนายวัลลภ มหัทธนานุสรณ์ ขณะอยู่ในความครอบครองของนายสุธี มหัทธนานุสรณ์ ผู้เสียหายที่ 9 ซึ่งนำไปจอดไว้ที่ลานรถยนต์ชั้นที่ 8อาคารธนาเพลส เป็นเหตุให้กระจกและประตูรถยนต์คันดังกล่าวแตกและบุบเสียหายค่าเสียหายคิดเป็นเงิน 8,500 บาท แล้วจำเลยเข้าไปรื้อค้นทรัพย์สินภายในรถยนต์คันดังกล่าว ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 358, 91, 33ริบเหล็ก 1 ท่อน และถุงผ้าสีขาวของกลาง กับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ปากกาเชฟเฟอร์ 1 ด้าม เป็นเงิน 750 บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหายที่ 5
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(3) วรรคแรก, 335(3) วรรคแรก ประกอบมาตรา 80, 358 เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 รวม 9 กระทง ความผิดฐานลักทรัพย์และพยายามลักทรัพย์เป็นกรรมเดียวกับฐานทำให้เสียทรัพย์ ลงโทษฐานลักทรัพย์ 5 กระทง ฐานพยายามลักทรัพย์ 4 กระทงซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ฐานลักทรัพย์ จำคุกกระทงละ 3 ปี ฐานพยายามลักทรัพย์ จำคุกกระทงละ 2 ปี รวมโทษจำคุก 23 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่งคงจำคุก 11 ปี 6 เดือน ริบของกลาง ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ปากกาเชฟเฟอร์ 1 ด้าม เป็นเงิน 750 บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหายที่ 5
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบา
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยฐานลักทรัพย์กระทงละ 2 ปี รวม5 กระทง ฐานพยายามลักทรัพย์กระทงละ 1 ปี 4 เดือน รวม 4 กระทง ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุกฐานลักทรัพย์กระทงละ 1 ปี รวม 5กระทง จำคุก 5 ปี ฐานพยายามลักทรัพย์กระทงละ 8 เดือน รวม 4 กระทง จำคุก 2 ปี8 เดือน รวมโทษจำคุกของจำเลยทั้งสิ้น 7 ปี 8 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่า การกระทำความผิดของจำเลยเป็นกรรมเดียวนั้น ฎีกาของจำเลยข้อนี้แม้จะมิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลล่างทั้งสอง แต่เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย จำเลยจึงยกขึ้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง, 225 เห็นว่า จำเลยใช้เหล็กทุบทำลายกระจกรถยนต์ถึง 9 คัน ทั้งยังได้ลักทรัพย์และพยายามลักทรัพย์ในรถยนต์ทั้ง 9 คันดังกล่าวด้วย แม้จำเลยอาจจะเมาสุราขาดสติเพียงครั้งเดียวและได้กระทำความผิดในคราวเดียวกันตามที่อ้างมาในฎีกา แต่จำเลยได้กระทำต่อรถยนต์ถึง 9 คัน ซึ่งเป็นของผู้เสียหายคนละคนกัน โดยจำเลยกระทำความผิดทีละคันและคนละเวลากัน แม้จะเป็นเวลาที่ต่อเนื่องใกล้ชิดกัน แต่การกระทำความผิดในรถยนต์แต่ละคันก็เป็นความผิดสำเร็จเด็ดขาดไปแล้วและเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามที่ได้กระทำต่อรถยนต์ทุกคันมิใช่กรรมเดียว”
พิพากษายืน