คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 195/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ศาลมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดหรือพิพากษาให้จำเลยซึ่งเป็นบริษัทจำกัดล้มละลาย ย่อมมีผลกระทบเฉพาะต่อสิทธิของจำเลยในการจัดการทรัพย์สินหรือกิจการของจำเลยเท่านั้น หาได้มีผลทำให้ผู้ถือหุ้นซึ่งรับผิดจำกัดเพียงไม่เกินจำนวนเงินที่ตนยังส่งใช้ไม่ครบมูลค่าของหุ้นที่ตนถือต้องถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดหรือตกเป็นบุคคลล้มละลายด้วยไม่ ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นจึงไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงในผลแห่งคดี ไม่มีสิทธิร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความด้วยการร้องสอด

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยล้มละลาย ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลย ผู้ร้องตรวจพบว่าในปี 2528 ถึง 2529 จำเลยมีเงินถึง100,000,000 บาทเศษ และมีที่ดินที่จังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 5 ไร่ราคาตารางวาละ 15,000 บาท เพียงพอที่จะชำระหนี้ในคดีนี้ได้ผู้ร้องจึงขอเข้ามาเป็นคู่ความเพื่อแสดงพยานหลักฐานและนำสืบให้เห็นว่า จำเลยยังไม่สมควรถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดหรือเป็นบุคคลล้มละลาย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่จะวินิจฉัยว่า ผู้ร้องจะร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความด้วยการร้องสอดหรือไม่ เห็นว่า ผู้ร้องเป็นผู้ถือหุ้นของจำเลยซึ่งเป็นบริษัทจำกัด บรรดาหนี้สินของจำเลยที่ต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอก ผู้ร้องไม่ต้องร่วมรับผิดอย่างไม่มีจำกัดจำนวน ความรับผิดของผู้ร้องจำกัดเพียงไม่เกินจำนวนเงินที่ผู้ร้องยังส่งใช้ไม่ครบมูลค่าของหุ้นที่ผู้ร้องถือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1096 และหากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดหรือพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลายคำสั่งหรือคำพิพากษาดังกล่าวย่อมกระทบเฉพาะต่อสิทธิของจำเลยในการจัดการทรัพย์สินหรือกิจการของจำเลย โดยผู้ร้องไม่ต้องถูกพิทักษ์ทรัพย์หรือตกเป็นบุคคลล้มละลายตามจำเลย ผู้ร้องไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงในผลแห่งคดี จึงไม่มีสิทธิร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความด้วยการร้องสอด
พิพากษายืน

Share