คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3763/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นหัวหน้าแผนกการเงินของโจทก์ร่วมกับจำเลยอื่นรับเงินไว้แทนโจทก์แล้วไม่ส่งให้โจทก์ขอให้จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยอื่นใช้เงินคืนโจทก์เมื่อข้อเท็จจริงในทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ร่วมกับจำเลยอื่นรับเงินไว้แล้วไม่ส่งให้โจทก์ดังฟ้อง เพียงแต่จำเลยที่ 1ประมาทเลินเล่อปล่อยให้จำเลยอื่นเอาเงินของโจทก์ไป ซึ่งโจทก์มิได้ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์เพราะเหตุละเมิดดังนี้ ศาลจะพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ร่วมรับผิดกับจำเลยอื่นไม่ได้เพราะเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างโจทก์โดยเป็นหัวหน้าแผนกการเงิน จำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นลูกจ้างโจทก์โดยเป็นผู้ช่วยจำเลยที่จำเลยทั้งสามและนายนิติสาร มานัสฤดี ร่วมกันรับเงินไว้แทนโจทก์แล้วไม่นำลงบัญชีของโจทก์ตามระเบียบและไม่นำเข้าฝากธนาคารโดยร่วมกันนำไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวเป็นจำนวนเงิน 154,660.50 บาทขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีหน้าที่รับเงินแทนโจทก์และไม่เคยร่วมกับจำเลยที่ 2 ที่ 3 รับเงินแล้วไม่มอบแก่โจทก์ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ส่งมอบเงินที่ได้รับมาแก่จำเลยที่ 1 แล้ว จึงไม่ต้องรับผิดชอบ หากต้องรับผิดก็เป็นจำนวนเงินเพียง 58,515 บาทเท่านั้น ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 3 ไม่มีหน้าที่เกี่ยวกับการเงิเก็บรักษาเงิน จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ก่อนศาลชั้นต้นสืบพยาน จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้ศาลเรียกนายนิติสาร มานัสฤดี เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต และให้เรียกจำเลยร่วมว่าจำเลยที่ 4
จำเลยที่ 4 ให้การว่า จำเลยที่ 4 เคยไปช่วยงานจำเลยที่ 1เป็นครั้งคราว แต่ไม่มีหน้าที่รับเงินแทนโจทก์ จำเลยที่ 4 ไม่ต้องรับผิด หากจะต้องรับผิดก็เป็นจำนวนเงินไม่เกิน 16,450 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินจำนวน 104,840.50 บาทจำเลยที่ 3 ชำระเงินจำนวน 33,370 บาท จำเลยที่ 4 ชำระเงินจำนวน16,450 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินของจำเลยแต่ละคนที่จะต้องรับผิดนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระหนี้คืนแก่โจทก์จนครบ ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1
โจทก์และจำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ใช้เงิน 154,660.5บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วมกับจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ไม่ส่งเงินให้โจทก์ตามที่โจทก์ฟ้อง แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ร่วมรู้เห็นในการที่จำเลยอื่นไม่ส่งเงินนี้ จำเลยที่ 1 จึงไม่ได้ร่วมกับจำเลยอื่นรับเงินไว้แล้วไม่ส่งให้โจทก์ดังที่โจทก์ฟ้อง แม้จำเลยที่ 1 จะเป็นหัวหน้าแผนกการเงินมีหน้าที่รับเงินจากจำเลยอื่นแล้วนำส่งให้โจทก์โดยการนำฝากเข้าบัญชีโจทก์ จำเลยที่ 1 จึงต้องตรวจสอบยอดเงินให้ตรงกับใบนำส่งเงินและสมุดคุมยอดรายรับรายจ่าย หากมีการส่งเงินให้จำเลยที่ 1 ไม่ครบ จำเลยที่ 1 ก็น่าจะตรวจพบได้ อันเข้าลักษณะประมาทเลินเล่อ ปล่อยให้จำเลยอื่นเอาเงินของโจทก์ไปก็ตาม แต่โจทก์มิได้ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์โดยประมาทเลินเล่อในลักษณะดังกล่าวและให้ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ศาลจะพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ร่วมรับผิดกับจำเลยอื่นเพราะเหตุนี้ไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น ดังนั้น จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share