คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1181/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ร้องขอรับมรดกที่ดิน โฉนดที่ 5130 ของ พ..ว.ยื่นคำร้องคัดค้านว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของ ช.ซึ่งถึงแก่กรรมไปแล้ว. ศาลฎีกาวินิจฉัยรับรองไว้ในคำพิพากษาฎีกาที่ 1927/2506 ว่า ว.มีสิทธิในส่วนของช.ในโฉนดที่กล่าวด้วย. จำเลยที่ 1 ในนามจังหวัด ได้มีหนังสือหารือการปฏิบัติในการสั่งคำร้องของโจทก์มายังจำเลยที่ 2(กรมที่ดิน). จำเลยที่ 2 เห็นว่าคำพิพากษาฎีกาได้วินิจฉัยว่า ว.มีส่วนได้เสียในที่ดินอยู่ด้วย. จำเลยที่ 1 จึงสั่งให้โจทก์และ ว.ลงชื่อร่วมกันในโฉนดในฐานะผู้รับมรดก. และสั่งด้วยว่าฝ่ายใดไม่เห็นพ้องด้วยก็ให้ฟ้องศาลภายใน 60 วัน. มิฉะนั้นจะดำเนินการไปตามคำสั่งต่อไป.ดังนี้ เห็นได้ว่า การที่จำเลยที่ 1 ดำเนินการในการออกคำสั่งคำร้องของโจทก์ ได้ปฏิบัติการไปตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 81 โดยชอบ. เช่น การประกาศการขอรับมรดกของโจทก์เป็นต้น. ครั้น ว.คัดค้าน ก็ได้ขอความเห็นจากจำเลยที่ 2 อันเป็นสำนักงานต้นสังกัดในการรับผิดชอบ. แสดงว่าจำเลยทั้งสองปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวัง เพื่อให้การงานเป็นไปโดยถูกต้อง. การที่จำเลยที่ 1 สั่งให้ว.รับมรดกร่วมกับโจทก์ ก็เห็นว่าเนื่องจากหลักฐานเบื้องต้นแสดงว่า ว.มีส่วนได้ส่วนเสียในที่ดินโฉนดนี้อยู่ด้วย และทั้งสองฝ่ายไม่ยอมตกลงตามข้อเปรียบเทียบของจำเลยที่ 1. จำเลยก็ย่อมสั่งการไปได้ตามที่เห็นสมควร. ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 81 วรรคสอง มิได้ก่อการเสียหายอันเป็นละเมิดต่อโจทก์. เพราะถ้าโจทก์หรือ ว.ไม่เห็นพ้องกับคำสั่งของจำเลยที่1ก็ย่อมนำคดีเสนอต่อศาลได้ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 81 วรรคสาม.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรคุณหญิงพึ่งและผู้รับมรดกตามพินัยกรรม คุณหญิงพึ่งถึงแก่กรรม โจทก์ยื่นคำร้องต่อจำเลยที่ 1ขอรับมรดกที่ดินโฉนดที่ 5130 จำเลยที่ 1 ประกาศโฆษณาตามระเบียบพลตรีวีรวัฒน์คัดค้านว่าที่ดินตามพินัยกรรมไม่คลุมถึงส่วนของพลตรีวีรวัฒน์ ตามฎีกาที่ 1927/2506 จำเลยที่ 2 สั่งว่าผู้คัดค้านมีกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินโฉนดที่ 5130 ตามพินัยกรรม ให้โจทก์ฟ้องศาลแสดงสิทธิ จำเลยที่ 1 สั่งโจทก์และพลตรีวีรวัฒน์รับมรดกร่วมกันคำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมายและสั่งโดยเจตนาร้ายต่อโจทก์ เป็นเหตุให้โจทก์เสียหายคิดเป็นเงิน 10,000 บาท ขอให้พิพากษาว่าคำสั่งจำเลยทั้งสองเป็นคำสั่งไม่ชอบ และให้บังคับจำเลยทั้งสองสั่งว่าที่ดินโฉนดที่ 5130 นั้น โจทก์เป็นผู้รับโอนกรรมสิทธิตามพินัยกรรม ฯลฯ จำเลยที่ 1 ให้การว่า ได้ดำเนินไปตามอำนาจที่ประมวลกฎหมายที่ดินให้อำนาจไว้ อันเป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 มีคำสั่งในคดีนี้ต่อมา โจทก์ชอบที่จะฟ้องพลตรีวีรวัฒน ฯลฯ จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 เพียงแต่ตอบหนังสือของจังหวัดหารือในทางปฏิบัติ ไม่ผูกมัดเจ้าพนักงานที่ดินจะต้องปฏิบัติ จำเลยที่ 2 มิใช่ผู้ออกคำสั่ง จำเลยมิใช่ผู้โต้แย้งสิทธิโจทก์ ฯลฯ ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยาน แล้วฟังว่าจำเลยทั้งสองสั่งการไปโดยมีหลักฐานและสุจริต ไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ พิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ในชั้นฎีกามีปัญหาจะต้องวินิจฉัยเพียงว่า การที่จำเลยสั่งการในกรณีที่โจทก์ขอรับมรดกรายนี้เป็นการละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ข้อนี้ปรากฏข้อเท็จจริงตามท้องสำนวนว่า ตามที่โจทก์ร้องขอรับมรดกที่ดินโฉนดที่ 5130 ของคุณหญิงพึ่งต่อจำเลยที่ 1 นั้น พลตรีวีรวัฒน์พี่เขยของโจทก์ซึ่งเป็นสามีนางพิงพี่สาวโจทก์ ยื่นคำร้องคัดค้านว่าที่ดินโฉนดที่กล่าวเป็นของพันเอกพระยาไชยเยนทร์ฤทธิรงค์(ซึ่งเป็นสามีคุณหญิงพึ่ง และเป็นบิดาของนางพิงภรรยาพลตรีวีรวัฒน์)กึ่งหนึ่ง บัดนี้ พระยาไชยเยนทร์ฤทธิรงค์ถึงแก่กรรมแล้วพลตรีวีรวัฒน์มีสิทธิในส่วนของพระยาไชยเยนทร์ฤทธิรงค์ในโฉนดที่กล่าวด้วย โดยอ้างว่าศาลฎีกาได้เคยวินิจฉัยรับรองไว้แล้วในคำพิพากษาฎีกาที่ 1927/2506 จำเลยที่ 1 ในนามของจังหวัดจันทบุรีได้มีหนังสือหารือการปฏิบัติในการสั่งคำร้องของโจทก์มายังกรมที่ดิน กรมที่ดินเห็นว่าคำพิพากษาฎีกาที่กล่าวได้วินิจฉัยไว้ว่าพลตรีวรวัฒน์มีส่วนได้เสียในที่ดินโฉนดที่กล่าวนั้นอยู่ด้วยจำเลยที่ 1 จึงสั่งให้ทั้งโจทก์และพลตรีวีรวัฒน์ลงชื่อร่วมกันในโฉนดในฐานะผู้รับมรดก และสั่งด้วยว่า ฝ่ายใดไม่เห็นพ้องด้วย ก็ให้ฟ้องศาลภายใน 60 วัน มิฉะนั้นจะดำเนินการไปตามคำสั่งต่อไป พฤติการณ์ดังกล่าวมาเห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 ดำเนินการต่าง ๆในการออกคำสั่งคำร้องของโจทก์นั้น ได้ปฏิบัติการไปตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 81 โดยชอบ เช่น การประกาศการขอรับมรดกของโจทก์เป็นต้น ครั้นพลตรีวีรวัฒน์ ยื่นคำร้องคัดค้าน เห็นว่าเป็นปัญหาก็ได้ขอความเห็นจากกรมที่ดินอันเป็นสำนักงานต้นสังกัดในการรับผิดชอบ ในการนี้ จำเลยที่ 2 ก็ได้ศึกษาเรื่องราวและคำพิพากษาฎีกาที่ 1927/2506 ซึ่งได้วินิจฉัยเกี่ยวกับสิทธิของพลตรีวีรวัฒน์ในที่ดินโฉนดที่กล่าวไว้แล้ว และแจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบ ในข้อนี้ศาลฎีกาได้ตรวจและพิเคราะห์คำพิพากษาที่กล่าวนั้นแล้ว ปรากฏว่าได้วินิจฉัยไว้เช่นนั้นจริง ดังนี้ แสดงว่าจำเลยที่ 1, 2 ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวัง และเพื่อให้การงานเป็นไปโดยความถูกต้องไม่มีพฤติการณ์ใดส่อให้เห็นเลยว่า เจตนาร้ายต่อโจทก์ดังที่โจทก์ฎีกาโต้เถียงมา ส่วนการที่จำเลยที่ 1 สั่งให้พลตรีวีรวัฒน์รับมรดกร่วมกับโจทก์ด้วยนั้น ก็เห็นว่าเนื่องจากหลักฐานในเบื้องต้นแสดงอยู่ว่าพลตรีวีรวัฒน์มีส่วนได้ส่วนเสียในที่ดินโฉนดนี้อยู่ด้วย และทั้งสองฝ่ายไม่ยอมตกลงตามข้อเปรียบเทียบของจำเลยที่ 1 จำเลยก็ย่อมสั่งการไปได้ตามที่เห็นสมควร ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 81 วรรค 2 และเห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 สั่งการไปนั้นเป็นการสมควรแก่เหตุผลตามท้องเรื่องแล้ว มิได้ก่อให้เกิดการเสียหายอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์เลย เพราะถ้าโจทก์ก็ดีหรือพลตรีวีรวัฒน์ก็ดี ไม่เห็นพ้องกับคำสั่งของจำเลยที่ 1 ก็ย่อมจะนำคดีเสนอต่อศาลได้ต่อไป ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 81วรรค 3 ดังนี้ เห็นว่าฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน.

Share