แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้จำเลยยอมรับตามหนังสือขอผ่อนผันการชำระหนี้ว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์จำนวนเงินตามเช็คทั้งสองฉบับกับดอกเบี้ยค้างชำระเป็นเงินรวมทั้งสิ้น 71,058.78 บาท ก็ตามแต่ในหนังสือดังกล่าวก็ระบุไว้ชัดว่าจำเลยตกลงจะขอชำระหนี้จำนวน 20,000 บาท ภายในสิ้นเดือนกรกฎาคม 2524 และขอผ่อนชำระหนี้ที่เหลือเดือนละ 2,000 บาทภายในสิ้นเดือนของทุกเดือนเริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2524 หากผิดนัดยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปีตามปกติกับขอให้โจทก์งดคิดดอกเบี้ยในระหว่างผ่อนชำระและลดหย่อนให้บ้าง หาได้รับสภาพหนี้ในต้นเงิน 71,058.79 บาท โดยยินยอมให้โจทก์เอาดอกเบี้ยที่ค้างชำระทบเข้ากับต้นเงินตามเช็คทั้งสองฉบับแล้วให้คิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ทบเข้ากันนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 655 ไม่ ดังนั้น โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในต้นเงิน30,000 บาท ตามเช็คทั้งสองฉบับรวมกัน ซึ่งเป็นสิทธิเรียกร้องที่โจทก์มีอยู่เดิมต่อจำเลยผู้เป็นลูกหนี้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยได้นำเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัสาขาสาธร ลงวันที่ ๕ และ ๒๔ กรกฎาคม สั่งจ่ายเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท และ๒๐,๐๐๐ บาท ตามลำดับ มาขายลดไว้กับธนาคารโจทก์ เมื่อเช็คดังกล่าวถึงกำหนด โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ ต่อมาวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๒๔ จำเลยได้มาทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้กับโจทก์โดยสัญญาว่า จะชำระต้นเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยที่ค้างชำระจนถึงวันรับสภาพหนี้จำนวน ๔๑,๐๕๘.๗๘ บาท รวมเป็นเงิน ๗๑,๐๕๘.๗๘ บาท โดยสัญญาว่าจะชำระเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท ภายในสิ้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๒๔ ที่เหลือชำระเป็นรายเดือน เดือนละ ๒,๐๐๐ บาท ภายในสิ้นเดือนของทุกเดือนเริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคม ๒๕๒๔ หากผิดนัดยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๙ ต่อปี ในยอดเงินที่ค้างชำระ เมื่อถึงกำหนดชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้จำเลยผิดนัดไม่ชำระ โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๙ ต่อปีในต้นเงิน๗๑,๐๕๘.๗๘ บาท นับแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๒๔ จนถึงวันฟ้องเป็นเงิน๔๘,๕๓๐.๑๙ บาท รวมเป็นต้นเงินและดอกเบี้ย ๑๑๙,๕๘๘.๙๗ บาท ขอให้จำเลยชำระเงิน ๑๑๙,๕๘๘.๙๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๙ ต่อปีของต้นเงินจำนวน ๗๑,๐๕๘.๗๘ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยไม่เคยนำเช็คไปขายให้โจทก์ ไม่เคยทำหนังสือรับสภาพหนี้ตามฟ้อง และคดีของโจทก์ขาดอายุความ หากศาลเชื่อว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์จริง หนี้โจทก์ก็ไม่ถึงตามจำนวนเงินในฟ้อง เพราะดอกเบี้ยที่โจทก์คิดเป็นเรื่องดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยอันเป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๓ จึงเป็นโมฆะ จำเลยมีหน้าที่จ่ายให้โจทก์ตามจำนวนเงินในเช็คเป็นเงิน ๓๐,๐๐๐ บาทเท่านั้น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๗๑,๐๕๘.๗๘ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๑๙ ต่อปี จากต้นเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันที่๘ กรกฎาคม ๒๕๒๔ ไป จนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยนำเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาสาธร ลงวันที่ ๕ และ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๑๔สั่งจ่ายเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท และ ๒๐,๐๐๐ บาท ตามลำดับ ไปขายลดกับธนาคารโจทก์สาขาจรัลสนิทวงศ์โดยตกลงกับโจทก์ว่าหากโจทก์เรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้ จำเลยยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ต่อปี นับแต่วันธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน เมื่อเช็คถึงกำหนดโจทก์เรียกเก็บเงินไม่ได้ ต่อมาวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๒๔ จำเลยได้ทำหนังสือขอผ่อนผันการชำระหนี้ต่อโจทก์โดยยอมชำระเงินตามเช็ค ๒ ฉบับรวม ๓๐,๐๐๐ บาท และดอกเบี้ยค้างชำระ ๔๑,๐๕๘.๗๘ บาท รวมเป็นเงิน๗๑,๐๕๘.๗๘ บาทแก่โจทก์ โดยขอผ่อนชำระหนี้จำนวน ๒๐,๐๐๐ บาทภายในสิ้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๒๔ หนี้ที่เหลือจะชำระเดือนละ ๒,๐๐๐ บาทภายในสิ้นเดือนของทุกเดือน เริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคม ๒๕๒๔ เป็นต้นไหากผิดนัดยินยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๙ ต่อปีตามปกติปรากฏตามหนังสือขอผ่อนผันการชำระหนี้เอกสารหมาย จ.๒ และจำเลยไม่ชำระหนี้ให้โจทก์เลยปัญหามีว่า โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากต้นเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท หรือ ๗๑,๐๕๘.๗๘ บาท
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่จำเลยมีหนังสือขอผ่อนผันการชำระหนี้ตามเอกสารหมาย จ.๒ เป็นการรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ที่มีสิทธิเรียกร้องต่อจำเลยอยู่เดิมให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็ค ๒ ฉบับ รวมเป็นเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท แม้จำเลยยอมรับตามหนังสือขอผ่อนผันการชำระหนี้ดังกล่าวว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์จำนวนเงินตามเช็คทั้งสองฉบับกับดอกเบี้ยค้างชำระเป็นเงิน ๔๑,๐๕๘.๗๘ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น๗๑,๐๕๘.๗๘ บาท ก็ตาม แต่ในหนังสือดังกล่าวก็ระบุไว้ชัดว่าจำเลยตกลงจะขอชำระหนี้จำนวน ๒๐,๐๐๐ บาท ภายในสิ้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๒๔ และขอผ่อนชำระหนี้ที่เหลือเดือนละ ๒,๐๐๐ บาท ภายในวันสิ้นเดือนของทุกเดือน เริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคม ๒๕๒๔ หากผิดนัดยินยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๙ ต่อปีตามปกติ ทั้งในหนังสือดังกล่าวยังขอให้โจทก์งดคิดดอกเบี้ยในระหว่างผ่อนชำระและลดหย่อนให้บ้างด้วยหาได้รับสภาพหนี้ในต้นเงิน ๗๑,๐๕๘.๗๘ บาท โดยยินยอมให้โจทก์เอาดอกเบี้ยที่ค้างชำระทบเข้ากับต้นเงินตามเช็คทั้งสองฉบับแล้วให้คิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ทบเข้ากันนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๕ ไม่ ดังนั้น โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในต้นเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท ตามเช็คทั้งสองฉบับรวมกันซึ่งเป็นสิทธิเรียกร้องที่โจทก์มีอยู่เดิมต่อจำเลยผู้เป็นลูกหนี้เท่านั้น
พิพากษายืน.